วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 04, 2561

ไม่ลืม 6 ตุลา.... ลานเลือด ลบไม่ได้ ล้างไม่ออก





ลานเลือด
ลบไม่ได้
ล้างไม่ออก


Sinsawat Yodbangtoey

...

คิด เชื่อ และแสดงออกอยู่เสมอว่าเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้สึก หมายถึง “วางเฉย” กับอารมณ์ได้ง่าย เพื่อจะมองเรื่องราวต่างๆตามที่มันเกิดขึ้นเช่นนั้นเช่นนี้

แต่เมื่อสักครู่ ได้ยินเพื่อนนักข่าวรุ่นพี่เล่าถึงเหตุการณ์ที่ “สยามรัฐ” คืนวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ว่าอาจารย์เกษม ศิริสัมพันธ์ เข้ามาที่สำนักงานยามดึก แล้วสั่งเปลี่ยนเนื้อหาเกือบทั้งฉบับด้วยเหตุผลว่า ถ้าเข้าข้างหรือเห็นใจพวกนักศึกษาแม้นิดเดียว สยามรัฐจะถูกเผาพินาศ

ดิฉันหลับตาลง จำได้ทุกวินาทีของคืนนั้น

แผลเก่าพลันฉีกขาด

จำได้ถึงวินาทีใกล้ตีหนึ่ง เมื่อเห็นหน้าแม่ผู้รีบรุดออกจากบ้าน หลังเพื่อนบ้านฟังวิทยุยานเกราะแล้วมาเตือน จนแม่ยอมปล่อยลูกชายอายุยังไม่ถึง 10 ขวบให้อยู่บ้านคนเดียว เพื่อมาตามลูกอีก 2 คนกลับบ้าน หากได้เพียงลูกสาวคนโต เพราะแม้ห่วงลูกสาวคนเล็ก แม่ก็ต้องยอมให้ลูกอยู่ต่อ ด้วย “เคารพ” ความคิดและงานของลูกที่ยังต้องร่วมรับผิดชอบคิวการแสดงบนเวที

จำได้ถึงเสียงระเบิดลูกแรก การทยอยหลบหนี น้องคนข้างๆ ที่ล้มลงไประหว่างวิ่งหนี น้องที่เกาะมือดิฉันออกมาทางประตูท่าพระจันทร์

จำเสียงเรียกให้เข้าไปหลบในบ้าน ตามด้วยเสียงรองเท้าบูทหลายคู่โครมคราม พร้อมเสียงตะโกนข่มขู่ของเจ้าหน้าที่ เสียงตะคอกสั่งให้ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง ความคิดที่ว่าหากถูกยิงตายจากข้างหลัง กระสุนแล่นผ่านเนื้อและกระดูก วิญญาณจะโลดแล่นไปกอดแม่ ยิ้มกับแม่ ขอบคุณแม่และบอกแม่ว่าอย่าเสียใจ แม่เลี้ยงลูกมาดีที่สุด เดี๋ยวเราจะได้พบกันอีก ฯลฯ

จำได้ทุกเวลานาที จนถึงวันแรกออกจากที่คุมขัง นั่งรถผ่านธรรมศาสตร์เพื่อไปพักบ้านญาติ เพราะที่บ้านมีตำรวจเฝ้าอยู่

ขณะนั่งรถข้ามสะพานปิ่นเกล้า ดิฉันผู้ร้องไห้ยาก น้ำตาไหลไม่รู้ตัว เมื่อมองธรรมศาสตร์แล้วคิดถึงบรรดาคนรักความเป็นธรรมผู้ถูกฆ่าอย่างทารุณ ผู้สูญหายไร้นาม ผู้บาดเจ็บ และครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้น ฯลฯ

กาลเวลาผ่านมา 42 ปี เหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลา 2519 ยังคงอยู่ในหลุมดำของประวัติศาสตร์ไทยฉบับราชการ

การเมืองไทย เศรษฐกิจไทย สังคมไทย ยังไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย

ที่ดูเหมือนก้าวหน้า ล้วนเป็นภาพลวงตา โครงสร้างสังคมยังบิดเบี้ยว เครือข่ายอภิสิทธิชนยังพยายามกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน ปั้นเรื่องเท็จใส่ร้ายป้ายสีคนคิดต่าง เพื่อปกป้องเครือข่ายของตนให้ยังคงสามารถเหยียบย่ำ และฆ่า “คนอื่น” ที่คิดต่างได้ต่อไป

ดิฉันไม่ลืม 6 ตุลา............

Nithinand Yorsaengrat

...

"6 ตุลา 2519/1976"
เป็น "วันมหามหาวิปโยค" Day of Great Sorrow
วันนั้น
--จอมพลถนอม บวชเป็นเณร จากสิงคโปร์กลับเข้ามา
บวชเป็นพระ ณ วัดบวรนิเวศ บางลำพู กทม

--นักศึกษาและประชาชน 3,000 ชุมนุมประท้วงที่ธรรมศาสตร์
(เรียกร้องให้รัฐบาล นรม. เสนีย์ ปราโมช ขับไล่ถนอมออกจากประเทศ)

--กลุ่มการเมืองจัดตั้ง ฝ่ายขวา นวพล กระทิงแดง
และวิทยุเครือข่ายทหาร​​ (อ้าง/อิง โหน ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์)

--โจมตีและกล่าวหานักศึกษาว่า "หมิ่นพระบรมเดชาฯ"
112 ล้มเจ้า และเป็น "คอมมิวนิสต์"

--ผู้กุมอำนาจรัฐ-รัฐข้าราชการ-ชนชั้นนำอีลีด-กลุ่มการเมืองจัดตั้ง ร่วมด้วยช่วยกัน

--ตำรวจตระเวนชายแดน กระทำ "อาชญากรรมรัฐ" (state crime)
ปราบปราบหนักด้วยอาวุธสงคราม

--ขุนทหารกระทำ "รัฐประหาร" แล้วเสนอตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร
ผู้นำฝ่ายตุลาการ เป็น นรม. และอ้างว่าจะปฏิรูป 12 ปี

--มีผู้ถูกทำลายชีวิต 40 (?) ราย, บาดเจ็บ 3,000 (?)
คนหนุ่มสาวหนีเข้าป่าไปร่วมกับ พคท.

--ผู้มีส่วนร่วม ฝ่ายหนึ่ง ที่ถูกกระทำ คือ เยาวชนคนหนุ่มสาว
ที่ อีกฝ่ายหนึ่ง ที่กระทำการ คือ "ชนชั้นกลาง"
ผู้กุมอำนาจรัฐ-ชนชั้นนำอีลีด-กลุ่มการเมืองจัดตั้ง-ตำรวจ
ที่ตั้งตน เป็นปฏิปักษ์/สร้างความเกลียดชัง

--รวมด้วยช่วยกระพือโดยสื่อมวลชน "กระแสหลัก"
ของทั้งรัฐและเอกชน ทั้ง นสพ/วิทยุ/ทีวี


Charnvit Kasetsiri