โดย กานดา นาคน้อย
ฉันติดตามข่าวเกี่ยวกับนโยบายการคลังของรัฐบาลมานานและมีคำถามหลายประเด็น จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบบางประเด็นไม่ได้ จึงขอชักชวนให้ผู้อ่านขบคิดปริศนาด้วยกัน
ปริศนา 1: เมื่อไรหนี้สาธารณะจะชนเพดานตามกรอบวินัยการคลัง?
เมื่อเดือนสิงหาคม 2558 ปลัดกระทรวงการคลัง(ในขณะนั้น)เปิดเผยว่า
ในการประชุมคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงด้านการคลังได้มีการประเมินความเสี่ยงด้านการคลังโดยคาดว่าในปี
2564 สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นและแตะระดับ
60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ชนเพดานตามกรอบวินัยทางการเงินและการคลังที่กำหนดไว้ว่าหนี้สาธารณะของไทยไม่ควรเกิน 60% ของจีดีพี (ในขณะนั้นหนี้สาธารณะอยู่ในระดับ 42-43% ของจีดีพี) แต่ปลัดกระทรวงการคลังก็เสนอว่าหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจนถึงกรอบที่กำหนดไว้นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยยังมีหนี้สาธารณะที่ต่ำ อาทิ ในยุโรปบางประเทศหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ 100% ต่อจีดีพี [1]
ชนเพดานตามกรอบวินัยทางการเงินและการคลังที่กำหนดไว้ว่าหนี้สาธารณะของไทยไม่ควรเกิน 60% ของจีดีพี (ในขณะนั้นหนี้สาธารณะอยู่ในระดับ 42-43% ของจีดีพี) แต่ปลัดกระทรวงการคลังก็เสนอว่าหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจนถึงกรอบที่กำหนดไว้นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยยังมีหนี้สาธารณะที่ต่ำ อาทิ ในยุโรปบางประเทศหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ 100% ต่อจีดีพี [1]
ผ่านไป 16 เดือนมีรายงานข่าวเมื่อเดือนมกราคมนี้ว่าในปีงบประมาณ 2560 รัฐบาลต้องกู้เงินชดเชยขาดดุลทั้งสิ้น 552,921.69 ล้านบาท และรัฐบาลจะจัดทำงบประมาณแบบ“ขาดดุลต่อเนื่อง”ในปีงบประมาณ 2561
ซึ่งกำหนดวงเงินขาดดุลไว้ทั้งสิ้น 450,000 ล้านบาท รองนายกฯด้านเศรษฐกิจเสนอว่าเป็นวงเงินขาดดุลที่สมควร
และเมื่อคำนึงถึงหนี้สาธารณะต่อจีดีพี
จะอยู่ที่ 45% ถือว่ายอมรับได้ตามมาตรฐานสากล
เพราะยังต่ำและไม่ทำให้ประเทศเสี่ยง [2]
นอกจากนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ณ ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ
2559 ได้แสดงงบขาดดุลต่อเนื่องไปจนถึงปีงบประมาณ 2563
วงเงินขาดดุลมากกว่า 500,000 ล้านบาทต่อปี และประเมินหนี้สาธารณะในปีงบประมาณ
2563 ไว้ที่ 49.7% [3]
ปริศนา 2: กระทรวงการคลังใช้สมมติฐานอะไรประเมินหนี้สาธารณะในอนาคต?
การจัดทำรายงานต้นทุน ฐานะการคลัง และรายงานความเสี่ยงหนี้ภาครัฐรายเดือน รายไตรมาส และรายปี
รวมทั้งรายงานความเสี่ยงอื่นๆ
ที่อาจจะผลกระทบต่อพอร์ตหนี้สาธารณะเพื่อไว้ใช้วิเคราะห์
ประเมินและปรับปรุงพอร์ตเบนช์มาร์คหนี้สาธารณะเป็นหน้าที่หนึ่งของกลุ่มบริหารความเสี่ยงหนี้สาธารณะในสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ [4] แต่ไม่มีการเปิดเผยรายงานอย่างโปร่งใสว่าสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะใช้สมมุติฐานอะไรบ้างในการประเมินการหนี้สาธารณะในอนาคต มีเพียงการเปิดเผยเล็กๆน้อยๆโดยเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น
อาทิ
ก) ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2558 ปลัดกระทรวงการคลัง(ในขณะนั้น)เปิดเผยว่าใช้สมมุติฐานว่าจีดีพีเติบโต 5% ต่อปี อนุมานได้ว่าถ้าจีดีพีเติบโตต่ำกว่า 5% รายได้ภาษีที่เก็บได้จริงก็จะต่ำกว่าประเมินและทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น โปรดสังเกตว่าปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 3-4% เท่านั้น [5]
ข) ในรายงานประเมินใช้อัตราภาษีอะไรเท่าไรบ้าง? เป็นไปได้ว่าในเดือนสิงหาคม
2558 รายงานประเมินยังไม่ได้พิจารณาถึงการขึ้นภาษีน้ำมัน แล้วภาษีอื่นๆใช้อัตราเท่าไร? อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอนาคตเท่าไร? อัตราภาษีสรรพสามิตสุราและสินค้าอื่นๆในอนาคตเท่าไร?
ค) สมมุติว่าดอกเบี้ยเงินกู้อัตราเท่าไรในอนาคต?
ตอนนี้ดอกเบี้ยกำลังปรับตัวสูงขึ้น
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะคำนึงถึงแน้วโน้มนี้หรือไม่?
ปริศนา 3: ทำไมกระทรวงการคลังไม่เปิดเผยวิธีการประเมินหนี้สาธารณะในอนาคตอย่างโปร่งใส?
ความน่าเชื่อถือของการประเมินหนี้สาธารณะในอนาคตขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของสมมุติฐานต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่ารองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจบปริญญาเอกจากที่ไหนเป็นศิษย์ของศาสตราจารย์ชื่ออะไร ตราบใดที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ“วิธีการประเมิน”หนี้สาธารณะในอนาคตอย่างโปร่งใส ก็วัดความน่าเชื่อถือของผลการประเมินไม่ได้ การเปิดเผยตัวเลขผลการประเมินไม่กี่ตัวผ่านสื่อมวลชนไม่ช่วยยกระดับความโปร่งใส
แน่นอนว่าการประเมินอาจไม่ตรงกับตัวเลขจริงในอนาคตเพราะเงื่อนไขทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน แต่การเปิดเผยวิธีการประเมินที่ใช้ความน่าจะเป็นของสถานการณ์หลากหลายจากแย่ที่สุดไปถึงดีที่สุดจะทำให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงของหนี้สาธารณะที่ชัดเจนขึ้น
เมื่อนโยบายภาษีเปลี่ยนไปวิธีการประเมินก็ควรเปลี่ยนไปด้วย การเปิดเผยวิธีการประเมินพร้อมด้วยผลการประเมินอย่างต่อเนื่องก็น่าจะช่วยลดความแตกต่างประหว่างตัวเลขประเมินและตัวเลขจริงได้
ในอดีตกระทรวงการคลังเคยประเมินผิดพลาดจนเกิดวิกฤตการคลังมาแล้วในยุครัฐบาลพลเอกเปรม
เกิดภาวะที่รัฐบาลขาดสภาพคล่องอย่างหนัก วิกฤตดังกล่าวมาจากการเก็บภาษีได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้เกือบ
20%
อีกสาเหตุคือรัฐบาลเพิ่มรายจ่ายประมาณ 20% รายได้ที่ลดลงฮวบฮาบและรายจ่ายที่พุ่งขึ้นสูงทำให้เงินคงคลังลดลงอย่างรุนแรง
ทำให้รัฐบาลต้องกู้เพิ่มด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง และผลักดันให้รัฐบาลขึ้นภาษีต่างๆ อาทิ
ภาษีสรรพสามิตสุรา บุหรี่ น้ำมันและซีเมนต์
ขึ้นราคาน้ำมัน ในยุคนั้นเงินบาทผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯทำให้วิกฤตการคลังนำไปสู่วิกฤตเงินบาทด้วย ทำให้ต้องลดค่าเงินบาทและกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)เป็นครั้งแรก
[6]
ปัจจุบัน vs วิกฤตการคลังยุครัฐบาลเปรม
ในปัจจุบันยอดเงินคงคลังต่ำกว่า
80,000 ล้านซึ่งน้อยกว่ารายจ่ายต่อเดือน (ในปีงบประมาณ
2559-2560 รัฐบาลมีรายจ่ายโดยเฉลี่ยมากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อเดือน) ดังนั้นรัฐบาลจึงใช้มาตรการกู้เพิ่มเติมเหมือนยุครัฐบาลเปรมเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง จากตัวเลขหนี้สาธารณะ 42.19% ของจีดีพีในเดือนธันวาคมปี 2559 และตัวเลขจีดีพี 14
ล้านล้านบาท [7] ก็หมายความว่ารัฐบาลปัจจุบันยังกู้ได้อีกราวๆ
2.5 ล้านล้านถึงจะชนเพดาน 60% ของจีดีพี
นโยบายขึ้นภาษีต่างๆและรายจ่ายรัฐทีพุ่งขึ้นสูงทำให้สภาวะปัจจุบัน“เริ่ม”คล้ายกับยุครัฐบาลเปรม แต่สภาวะปัจจุบันก็ยังดีกว่ายุครัฐบาลเปรมในหลายด้านดังนี้
ก) ดอกเบี้ยปัจจุบันต่ำกว่าดอกเบี้ยในยุครัฐบาลเปรมมาก
ข) ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศยังสูง
ค) ค่าเงินบาทไม่ได้ผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ปัจจัย ข) และค)
มีผลดีตรงที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตเงินบาท
แต่ปัจจัย ก) และ ข) ก็กำลังเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นเพราะดอกเบี้ยโลกกำลังปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ บัญชีดุลชำระเงินของไทยก็บ่งชี้ว่าเงินทุนไหลออกนอกไทยอย่างต่อเนื่องในมูลค่ามหาศาล
[8] ภาวะดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลต้องรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในอนาคต
หนี้สาธารณะแค่ไหนถึงวิกฤต?
ระด้บหนี้สาธารณะที่ทำให้เกิดวิกฤตคือระดับหนี้สาธารณะที่ทำให้ภาระดอกเบี้ยสูงมากจนผิดชำระหนี้ ต้องต่อรองกับเจ้าหนี้และขายทรัพย์สินเพื่อใช้หนี้ (เช่น
ขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ)
ระดับหนี้สาธารณะดังกล่าวแตกต่างกันไปแล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละประเทศ การเปรียบเทียบตัวเลขหนี้สาธารณะไทยกับประเทศต่างๆโดยไม่ดูเงื่อนไขปลีกย่อยเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นที่ไม่ช่วยให้เข้าใจสภาวะของไทย ยกตัวอย่าง
ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะ 200% ของจีดีพีแต่ไม่มีวิกฤตการคลัง สหรัฐฯมีหนี้สาธารณะ 100% ของจีดีพีแต่ไม่มีวิกฤตการคลัง
ก็ไม่ได้หมายความว่าไทยจะทำได้แบบญี่ปุ่นหรือสหรัฐฯ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศเจ้าหนี้ซึ่งมีทรัพย์สินทั่วโลกมากกว่าหนี้สินต่างชาติ ภาคเอกชนญี่ปุ่นมีทรัพย์สินมากและถือตราสารหนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อกระจายความเสี่ยงด้วย ครัวเรือนญี่ปุ่นมีอัตราการออมสูงและอายุยืนก็มีแรงจูงใจให้ซื้อตราสารหนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อหารายได้จากดอกเบี้ย หนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเกือบ 100% เป็นของเจ้าหนี้สัญชาติญี่ปุ่น
ส่วนสหรัฐฯเป็นประเทศลูกหนี้แต่เงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นเงินสากลทำให้สถาบันการเงินทั่วโลกซื้อตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ
ครึ่งหนึ่งของตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯเป็นของเจ้าหนี้ต่างชาติ แต่เงินบาทไม่ใช่เงินสากลและสัดส่วนตราสารหนี้รัฐบาลไทยที่เป็นของเจ้าหนี้ต่างชาติมีเพียง
2% เท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลไทยจะกู้เพิ่มได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหนี้สัญชาติไทยซึ่งก็คือสถาบันการเงินไทยและครัวเรือนไทย
แต่ไทยต่างจากญี่ปุ่นตรงที่ว่าเจ้าหนี้รัฐบาลไทยเป็นลูกหนี้ต่างชาติ
ข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สินต่างชาติของไทยบ่งชี้ว่าทั้งรัฐบาลไทยทั้งสถาบันการเงินและภาคเอกชน(รวมภาคครัวเรือน)เป็นลูกหนี้ต่างชาติโดยสุทธิ
[9] แม้ว่าแบงค์ชาติมีสถานะเจ้าหนี้โดยสุทธิสถานะดังกล่าวเป็นสถานะสามัญเพราะธนาคารกลางของประเทศที่เงินตราไม่ใช่เงินสากลต้องมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นเวลามีวิกฤตค่าเงินแล้วแบงค์ชาติกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)หรือธนาคารกลางต่างชาติเท่านั้นแบงค์ชาติถึงจะมีสถานะลูกหนี้โดยสุทธิ เมื่อรวมทุกภาคเศรษฐกิจเข้าด้วยกันไทยก็ยังเป็นประเทศลูกหนี้โดยสุทธิเหมือนในอดีต ดังนั้นสถาบันการเงินไทยและครัวเรือนไทยไม่สามารถให้รัฐบาลกู้ได้มากเหมือนญี่ปุ่น
บทสรุป
กระทรวงการคลังควรเปิดเผย“วิธีการประเมิน”หนี้สาธารณะในอนาคตอย่างโปร่งใส การเปิดเผยตัวเลขไม่กี่ตัวเกี่ยวกับแนวโน้มหนี้สาธารณะในอนาคตไม่ช่วยให้มั่นใจว่ารายรับและรายจ่ายของรัฐบาลจะอยู่ในกรอบวินัยทางการเงินและการคลังในอนาคต เพราะคุณภาพผลการประเมินขึ้นอยู่กับวิธีการประเมินซึ่งควรโดนตรวจสอบอย่างโปร่งใส
หมายเหตุ:
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ประชาไท http://www.prachatai.com/journal/2017/02/70092
ติดตามข้อมูลและทัศนะจาก กานดา นาคน้อย ได้ที่
เพจมายด์ https://www.minds.com/kandainthai
ที่มา:
[1] “คลังรับหนี้สาธารณะอาจแตะ
60% ของจีดีพีในปี ‘64” มติชนออนไลน์: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1439173562
[2] “บิ๊กตู่ทำงบฯขาดดุล 4 ปีซ้อน รัฐกู้พุ่ง 1.6 ล้านล้าน ทุ่มลงทุนพยุง ศก.” ประชาชาติธุรกิจ: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1485145696
[3] “กรอบความยั่งยืนทางการคลัง
ประมาณการ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ 2559” โดย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง:
http://www.fpo.go.th/FPO/modules/Content/getfile.php?contentfileID=11743
[4] “เกี่ยวกับกลุ่มบริหารความเสี่ยงหนี้สาธารณะ” สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ: http://www.pdmo.go.th/popup_about.php?division_id=21
[5] “สภาพัฒน์ คาด GDP ปี 60 โต 3-4% อานิสงส์ส่งออกขยับ-ลงทุนภาครัฐ” ไทยรัฐ:
[6] Suwanmala, C. (1989) “Crisis and
Response: Treasury Cash Balance Crisis in Thailand: 1980-1982”. Public
Budgeting and Finance 9(3), 27-36:
[7] ข้อมูลหนี้สาธารณะคงค้าง
[8] ดุลการชำระเงิน (สรุป) โดย
ธนาคารแห่งประเทศไทย
[9] Thailand's
International Investment Position Classified by Sector (US$)