วันเสาร์, มีนาคม 05, 2559

“แน่ละ ไทยเป็นประเทศอธิปไตย” แต่ ลดขั้นลงไปซูฮกจีนหรือเปล่านะ

คำว่า “เราไม่เคยก้มหัวให้ใคร” ใช้อ้างไม่ได้อีกแล้ว ประเทศไทยถูกตั้งข้อสังเกตุว่าการปฏิบัติตนแบบชาติอิสระตกต่ำลงไปอีกระดับหนึ่ง

อันเนื่องมาแต่บทความใน เดอะ นิวย้อร์คเกอร์นิตยสารอเมริกันที่เสนอสาระ บทวิจารณ์ อารมณ์ขัน และการ์ตูนล้อเลียน จนเป็นที่ยกย่องในระดับสูงส่ง (prestigious) มานานกว่า ๙๐ ปี เรื่อง ‘Why did China kidnap its provocateurs?’ เขียนโดย Babara Demick


Thailand, of course, is a sovereign country.” บทความกล่าวไว้ตอนหนึ่ง แต่วิธีการยืดอำนาจกฎหมายเกินควรที่ทำกันในประเทศไทยและฮ่องกง ไปไกลกว่าการจับกุมคุมขังผู้เห็นต่างกับรัฐบาลเสียแล้ว

ฮ่องกงถึงแม้จะกลับไปเป็นของจีนตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ ก็ยังไม่มีข้อตกลงส่งมอบตัว (rendition) เหมือนประเทศอธิปไตยอิสระอย่างไทย

บทความกล่าวถึงวิธีการก้าวล้ำอธิปไตย ด้วยการลักพาตัวชาวจีนผู้จัดพิมพ์หนังสือเปิดโปงความประพฤติไม่ชอบมาพากลภายในแวดวงรัฐบาลและผู้นำจีน ทั้งจากประเทศไทยและฮ่องกงนำกลับไปดำเนินคดีในแผ่นดินใหญ่

ว่า "ทำให้การซูฮกของประเทศไทยลงไปสู่ระดับใหม่ นานาชาติส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าไปจับตัวใครก็ได้ภายในเขตแดนตามความพอใจ โดยที่ไม่มีข้ออ้างทางกฎหมายเลยแม้แต่น้อยนิด”

หากอ่านระหว่างบรรทัดก็อาจเกิดความเข้าใจได้ว่า กรณีนี้จีนปฏิบัติต่อไทยเหมือนดั่งฮ่องกง ดินแดนที่ซึ่งสหราชอาณาจักรได้ส่งมอบอธิปไตยคืนกลับไปเป็นของจีนแล้ว

“การลักพาตัวนี้เป็นเรื่องที่นานาชาติมีความวิตกเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทย ที่เคยเป็นแหล่งลี้ภัยจากทั่วทุกท้องที่ในเอเซีย ตั้งแต่โรฮิงญาของพม่ามาถึงเกาหลีเหนือ

แต่ว่าเดี๋ยวนี้ประเทศไทยปกครองโดยคณะทหารที่ยึดอำนาจมาเมื่อปี ๒๕๕๗ และมีเศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศนี้ยอมอ่อนน้อมตามเจตนารมณ์ของจีนมากยิ่งๆ ขึ้นทุกที”

เดอะนิวย้อร์คเกอร์ยกตัวอย่างการจับส่งตัวนักกิจกรรมจีนสองคนกลับไปให้แก่รัฐบาลจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้ว ทั้งๆ ที่ทั้งสองมีเอกสารยืนยันจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ว่าอยู่ในระหว่างพักรอการเดินทางต่อไปสู่ประเทศที่สามเพื่อการลี้ภัยถาวร

นั่นเป็นการฝ่าฝืนแนวปฏิบัติแบบชาติที่ไม่ป่าเถื่อนในกรอบของสหประชาชาติอย่างชัดแจ้ง 

แล้วยังมีวิธีการไขสือละเมิดสิทธิมนุษยชนสากลอย่างหน้าตายในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วเช่นกัน เมื่อประเทศไทยภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร คสช. จัดส่งชนชาวมุสลิมไอกูร์จำนวนร้อยที่ลี้ภัยมาจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน กลับไปให้รัฐบาลจีนควบคุมตัวดำเนินคดี แบบที่ปรากฏภาพและข่าวจากสื่อต่างประเทศว่าทางการจีนปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างหมูหมา
ชาวฮ่องกงประท้วงรัฐบาลจีน ต่อการที่นายกุย มินไฮ หายตัวไป
บทความเรื่อง “ทำไมจีนลักพาตัวพวกยั่วยุ” ในเดอะนิวย้อร์คเกอร์รายปักษ์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ กล่าวถึงกุย มินไฮ ผู้พิมพ์โฆษณาของสื่อบริษัท Mighty Current Media ในฮ่องกง ซึ่งเช่าคอนโดอาศัยอยู่ในประเทศไทย หายตัวไปหลังกลับจากซื้อของตลาดซูเปอร์แล้วพบชายหนุ่มคนหนึ่งรออยู่หน้าทางเข้าอาคาร

เขาฝากของที่ซื้อมาให้ยามนำไปวางหน้าประตูห้อง ก่อนขับรถเก๋งขาวออกไปกับชายหนุ่มคนนั้นแล้วไม่กลับมาอีกเลย จนกระทั่งมีการเปิดเผยโดยบทความของ เจียยัง แฟน ในเดอะนิวย้ร์คเกอร์ฉบับต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า ผู้จัดพิมพ์สำนักไม้ตี้เคอเร้นต์ชาวจีนสามคนที่หายตัว เพราะถูกทางการจีนลักพาตัว


นั่นรวมถึง ลี่ สิน นักเขียนจีนต่อต้านรัฐบาลเผด็จการที่ไปอยู่ในประเทศไทยรอการขอลี้ภัยการเมือง เขาจำเป็นต้องขึ้นรถไฟเดินทางมุ่งสู่ประเทศลาวเพื่อต่อวีซ่าท่องเที่ยวกลับเข้าไปใหม่ เขาเขียนบอกภรรยาผ่านโทรศัพท์มือถือตอนก่อนถึงชายแดน จากนั้นก็หายตัวไป

วิธีการที่รัฐบาลจีน จัดการ กับผู้ที่วิพากษ์รัฐบาลเป็นที่รู้กันทั่วว่าเลวร้ายขนาดไหน (ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารของไทยก็ทำในลักษณะเกือบจะคล้ายกัน แต่คอยโกหกกับต่างชาติว่าไม่เค้ย ไม่เคย) ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ระบุว่ามีนักกิจกรรมและทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนของจีนจำนวน ๒๘๐ คนถูกกักกันตัวในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนปีที่แล้ว

“ชายสามคนที่ถูกลักพาตัวโดยทางการจีนเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ใช่ทั้งผู้ต้องหาอาชญากรสงครามหรือก่อการร้าย ด้วยข้อยกเว้นกรณีหนึ่ง พวกเขาไม่ใช่แม้แต่พวกต่อต้านรัฐบาล แค่ทำให้เกิดความรำคาญเท่านั้นเอง”

ข้อความที่บาบาร่า เดมิคเขียนถึงความก้าวร้าวของรัฐบาลจีนเช่นนี้ ชวนให้เปรียบเทียบถึงการที่รัฐบาล คสช. ส่งทหารบุกไปจับกุมตัวนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพียงเพราะเขาออกมาตำหนิพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าหยามเหยียดศักดิ์ศรีสตรีของอดีตนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

กุย มินไฮ กับ ลี โบ (อีกชื่อหนึ่งว่า พอล ลี ซึ่งถูกลักพาตัวในฮ่องกง) หุ้นส่วนกิจการไม้ตี้เคอเร้นต์มีเดียในฮ่องกงที่ตีพิมพ์เรื่องราวการเสียพรพมจรรย์ครั้งแรกของเป็ง ลี่หยวน สตรีหมายเลขหนึ่งจีน กับสถานภาพการมี ผู้หญิงหกคน ของประธานาธิบดีสี จินปิง จนทั้งสองต้องถูกลักพาตัว (เช่นเดียวกับชาวฮ่องกงทำธุรกิจร้านหนังสืออีกสามคน) ต่างก็ได้สัญชาติประเทศตะวันตกทั้งคู่ กุยเป็นชาวสวีเด็น ส่วนลีเป็นชาวอังกฤษ ซึ่งในกรณีของลี กระทรวงต่างประเทศอังกฤษแถลงว่าเขาถูกพาตัวไปโดย “ไม่ได้ให้การยินยอม”
๕ ผู้ร่วมกิจการร้านหนังสือในฮ่องกงที่ถูกลักพาตัว
สำหรับลี่ สิน ซึ่งหายตัวไปขณะนั่งรถไฟไทยไปลาว เป็นบรรณาธิการเว็บข่าว Southern Metropolis Daily อันเป็นกลุ่มสื่อในมณฑลกวางซูที่ทัดทานอำนาจเผด็จการจีนมาอน่างเผ็ดร้อน ลี่ทำให้รัฐบาลจีนโกรธเพราะเปิดโปงระบบเซ็นเซอร์ของจีน

จากรายงานของ วิทยุเอเซียเสรี แจ้งว่ารัฐบาลจีนต้องการให้เขาเผยชื่อกลุ่มต่อต้านรัฐบาลให้หมด ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีต่อเขาในข้อหาสายลับ เขาจึงได้หนีเข้าไปอยู่ในประเทศไทยเพื่อขอลี้ภัยการเมือง

แต่อนิจจาเขาหนีมังกรไปปะ monitor lizards

นี่อีก ชวนให้นึกถึงคดีของนายเธนตร อนันตวงษ์ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุมขณะนอนรอการผ่าตัดอยู่บนเตียงคนไข้โรงพยาบาลสิรินธร ในข้อหานำลงผังภาพการทุจริตอุทธยานราชภักดิ์ ตาม ม. ๑๑๖

หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเขาเดินทางออกนอกประเทศไปลาว อ้างว่าเจ้าหน้าที่ต้องการให้เขาเป็นพยานปรักปรำกลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่จึงต้องหนีประกัน อย่างไรก็ดีต่อมาเขาเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย โดยมีข่าวว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่ลาวได้เพราะพวกผู้ลี้ภัยชาวไทยที่นั่นไม่ไว้ใจว่าเขาไปเป็นสายลับให้กับ คสช.

เธนตร 'ตูน' อนันตวงษ์
แต่กระนั้นวิธีการจับกุมควบคุมตัวผู้ที่เกี่ยวโยงหรือมีสัมพันธ์กับกลุ่มต่อต้านเผด็จการทางใดทางหนึ่ง เพื่อบีบคั้นให้ทำตัวเป็นสายลับตามแบบเผด็จการ นั้นไม่ต่างกันเลยทั้งรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทย

เดอะนิวย้อร์คเกอร์ยกตัวอย่างกรณีองค์การซีไอเอของสหรัฐลักพาตัวอิหม่าม ฮัสซัน มุสตาฟา โอซาม่า นาสเซอร์ ของอียิปต์ ไปจากท้องถนนกรุงมิลาน อิตาลี่ ในปี ๒๕๔๖ อัยการอิตาลียื่นฟ้องคดีต่อชาวอเมริกัน ๒๓ คน รวมทั้งหัวหน้าสถานีของซีไอเอ ข้อหาลักพาตัวคนส่งออกนอกประเทศ

ศาลตัดสินความผิดแม้ว่าจะไม่มีจำเลยไปปรากฏตัวแม้แต่สักคน ทว่าจนบัดนี้ทางการอิตาลีก็ยังมีหมายจับผู้ถูกตัดสินเหล่านั้นที่เป็นผลบังคับใช้อยู่ อันต่างอย่างสิ้นเชิงกับกรณีประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวนิตยสารไทม์ไปทำรายงานสืบสวนถึงคอนโดของกุย มินไฮ สองเดือนหลังจากเขาหายตัวไป แฮนนาห์ บีช พบว่าตำรวจไทยไม่เคยสนใจทำคดีการหายตัวของกุยนี้เลย อ้างว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าหากญาติของผู้สูญหายไม่ไปแจ้งความต่อตำรวจในประเทศไทย

ทางด้านภรรยาของลี่ สิน ที่หายตัวไประหว่างเดินทางจากไทยไปลาว บอกกับสำนักข่าวเสียงจากอเมริกาว่า ตำรวจไทยปฏิเสธไม่ยอมทำคดีการหายตัวของสามีเธอ แถมยังบอกให้เธอไปแจ้งกับสถานทูตจีนเอาเองด้วย

อีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้นก็ปรากฏข่าวออกมาจากทางการจีนว่า ผู้ที่หายตัวไปทั้งสามเดินทางไปมอบตัวกันเอง โดยมีคลิปและคำสารภาพออกมาด้วย ภรรยาของลี่กล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษว่า เธอได้รับโทรศัพท์จากสามีแจ้งว่าเขาอยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจจีนแล้ว

เขาได้กลับไปรับการดำเนินคดีด้วยความสมัครใจ แต่เธอเสริมว่า “ฉันรู้สึกเขาถูกบังคับให้พูด เขาพูดอย่างนั้นโดยขัดกับเจตนาอย่างแน่นอน”

ข่าวนี้ชี้ให้เห็นว่า จะโกหกพกลม หรือแค่แถลงความจริงนิดเดียว แอบอ้างหลักการวิเศษไม่สามัญ ด้วยถ้อยสำนวนการทูตเลิศเลออย่างไร การกระทำแท้จริงก็ไม่อาจลอดพ้นสายตาประชาคมโลกได้