คำว่า “เราไม่เคยก้มหัวให้ใคร” ใช้อ้างไม่ได้อีกแล้ว ประเทศไทยถูกตั้งข้อสังเกตุว่าการปฏิบัติตนแบบชาติอิสระตกต่ำลงไปอีกระดับหนึ่ง
อันเนื่องมาแต่บทความใน ‘เดอะ นิวย้อร์คเกอร์’
นิตยสารอเมริกันที่เสนอสาระ บทวิจารณ์ อารมณ์ขัน และการ์ตูนล้อเลียน
จนเป็นที่ยกย่องในระดับสูงส่ง (prestigious) มานานกว่า ๙๐ ปี
เรื่อง ‘Why did China kidnap its provocateurs?’ เขียนโดย
Babara Demick
“Thailand, of course, is a sovereign country.”
บทความกล่าวไว้ตอนหนึ่ง แต่วิธีการยืดอำนาจกฎหมายเกินควรที่ทำกันในประเทศไทยและฮ่องกง
ไปไกลกว่าการจับกุมคุมขังผู้เห็นต่างกับรัฐบาลเสียแล้ว
ฮ่องกงถึงแม้จะกลับไปเป็นของจีนตั้งแต่ปี ๒๕๔๐
ก็ยังไม่มีข้อตกลงส่งมอบตัว (rendition) เหมือนประเทศอธิปไตยอิสระอย่างไทย
บทความกล่าวถึงวิธีการก้าวล้ำอธิปไตย ด้วยการลักพาตัวชาวจีนผู้จัดพิมพ์หนังสือเปิดโปงความประพฤติไม่ชอบมาพากลภายในแวดวงรัฐบาลและผู้นำจีน
ทั้งจากประเทศไทยและฮ่องกงนำกลับไปดำเนินคดีในแผ่นดินใหญ่
ว่า "ทำให้การซูฮกของประเทศไทยลงไปสู่ระดับใหม่ นานาชาติส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าไปจับตัวใครก็ได้ภายในเขตแดนตามความพอใจ
โดยที่ไม่มีข้ออ้างทางกฎหมายเลยแม้แต่น้อยนิด”
หากอ่านระหว่างบรรทัดก็อาจเกิดความเข้าใจได้ว่า กรณีนี้จีนปฏิบัติต่อไทยเหมือนดั่งฮ่องกง ดินแดนที่ซึ่งสหราชอาณาจักรได้ส่งมอบอธิปไตยคืนกลับไปเป็นของจีนแล้ว
“การลักพาตัวนี้เป็นเรื่องที่นานาชาติมีความวิตกเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทย
ที่เคยเป็นแหล่งลี้ภัยจากทั่วทุกท้องที่ในเอเซีย ตั้งแต่โรฮิงญาของพม่ามาถึงเกาหลีเหนือ
แต่ว่าเดี๋ยวนี้ประเทศไทยปกครองโดยคณะทหารที่ยึดอำนาจมาเมื่อปี
๒๕๕๗ และมีเศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศนี้ยอมอ่อนน้อมตามเจตนารมณ์ของจีนมากยิ่งๆ ขึ้นทุกที”
เดอะนิวย้อร์คเกอร์ยกตัวอย่างการจับส่งตัวนักกิจกรรมจีนสองคนกลับไปให้แก่รัฐบาลจีนเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้ว
ทั้งๆ ที่ทั้งสองมีเอกสารยืนยันจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
ว่าอยู่ในระหว่างพักรอการเดินทางต่อไปสู่ประเทศที่สามเพื่อการลี้ภัยถาวร
นั่นเป็นการฝ่าฝืนแนวปฏิบัติแบบชาติที่ไม่ป่าเถื่อนในกรอบของสหประชาชาติอย่างชัดแจ้ง
แล้วยังมีวิธีการไขสือละเมิดสิทธิมนุษยชนสากลอย่างหน้าตายในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วเช่นกัน
เมื่อประเทศไทยภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร คสช. จัดส่งชนชาวมุสลิมไอกูร์จำนวนร้อยที่ลี้ภัยมาจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
กลับไปให้รัฐบาลจีนควบคุมตัวดำเนินคดี แบบที่ปรากฏภาพและข่าวจากสื่อต่างประเทศว่าทางการจีนปฏิบัติต่อคนเหล่านี้อย่างหมูหมา
ชาวฮ่องกงประท้วงรัฐบาลจีน ต่อการที่นายกุย มินไฮ หายตัวไป |
บทความเรื่อง “ทำไมจีนลักพาตัวพวกยั่วยุ” ในเดอะนิวย้อร์คเกอร์รายปักษ์ที่
๑๖ กุมภาพันธ์ กล่าวถึงกุย มินไฮ ผู้พิมพ์โฆษณาของสื่อบริษัท Mighty Current Media
ในฮ่องกง ซึ่งเช่าคอนโดอาศัยอยู่ในประเทศไทย หายตัวไปหลังกลับจากซื้อของตลาดซูเปอร์แล้วพบชายหนุ่มคนหนึ่งรออยู่หน้าทางเข้าอาคาร
เขาฝากของที่ซื้อมาให้ยามนำไปวางหน้าประตูห้อง
ก่อนขับรถเก๋งขาวออกไปกับชายหนุ่มคนนั้นแล้วไม่กลับมาอีกเลย
จนกระทั่งมีการเปิดเผยโดยบทความของ เจียยัง แฟน
ในเดอะนิวย้ร์คเกอร์ฉบับต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า
ผู้จัดพิมพ์สำนักไม้ตี้เคอเร้นต์ชาวจีนสามคนที่หายตัว เพราะถูกทางการจีนลักพาตัว
นั่นรวมถึง ลี่ สิน นักเขียนจีนต่อต้านรัฐบาลเผด็จการที่ไปอยู่ในประเทศไทยรอการขอลี้ภัยการเมือง
เขาจำเป็นต้องขึ้นรถไฟเดินทางมุ่งสู่ประเทศลาวเพื่อต่อวีซ่าท่องเที่ยวกลับเข้าไปใหม่
เขาเขียนบอกภรรยาผ่านโทรศัพท์มือถือตอนก่อนถึงชายแดน จากนั้นก็หายตัวไป
วิธีการที่รัฐบาลจีน ‘จัดการ’
กับผู้ที่วิพากษ์รัฐบาลเป็นที่รู้กันทั่วว่าเลวร้ายขนาดไหน (ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารของไทยก็ทำในลักษณะเกือบจะคล้ายกัน
แต่คอยโกหกกับต่างชาติว่าไม่เค้ย ไม่เคย)
ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ระบุว่ามีนักกิจกรรมและทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนของจีนจำนวน ๒๘๐
คนถูกกักกันตัวในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนปีที่แล้ว
“ชายสามคนที่ถูกลักพาตัวโดยทางการจีนเมื่อเร็วๆ นี้
ไม่ใช่ทั้งผู้ต้องหาอาชญากรสงครามหรือก่อการร้าย ด้วยข้อยกเว้นกรณีหนึ่ง
พวกเขาไม่ใช่แม้แต่พวกต่อต้านรัฐบาล แค่ทำให้เกิดความรำคาญเท่านั้นเอง”
ข้อความที่บาบาร่า
เดมิคเขียนถึงความก้าวร้าวของรัฐบาลจีนเช่นนี้ ชวนให้เปรียบเทียบถึงการที่รัฐบาล
คสช. ส่งทหารบุกไปจับกุมตัวนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เพียงเพราะเขาออกมาตำหนิพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ว่าหยามเหยียดศักดิ์ศรีสตรีของอดีตนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กุย มินไฮ กับ ลี โบ (อีกชื่อหนึ่งว่า พอล ลี ซึ่งถูกลักพาตัวในฮ่องกง) หุ้นส่วนกิจการไม้ตี้เคอเร้นต์มีเดียในฮ่องกงที่ตีพิมพ์เรื่องราวการเสียพรพมจรรย์ครั้งแรกของเป็ง
ลี่หยวน สตรีหมายเลขหนึ่งจีน กับสถานภาพการมี ‘ผู้หญิงหกคน’ ของประธานาธิบดีสี จินปิง จนทั้งสองต้องถูกลักพาตัว (เช่นเดียวกับชาวฮ่องกงทำธุรกิจร้านหนังสืออีกสามคน) ต่างก็ได้สัญชาติประเทศตะวันตกทั้งคู่ กุยเป็นชาวสวีเด็น ส่วนลีเป็นชาวอังกฤษ
ซึ่งในกรณีของลี กระทรวงต่างประเทศอังกฤษแถลงว่าเขาถูกพาตัวไปโดย “ไม่ได้ให้การยินยอม”
๕ ผู้ร่วมกิจการร้านหนังสือในฮ่องกงที่ถูกลักพาตัว |
สำหรับลี่ สิน ซึ่งหายตัวไปขณะนั่งรถไฟไทยไปลาว เป็นบรรณาธิการเว็บข่าว
Southern
Metropolis Daily อันเป็นกลุ่มสื่อในมณฑลกวางซูที่ทัดทานอำนาจเผด็จการจีนมาอน่างเผ็ดร้อน
ลี่ทำให้รัฐบาลจีนโกรธเพราะเปิดโปงระบบเซ็นเซอร์ของจีน
จากรายงานของ ‘วิทยุเอเซียเสรี’
แจ้งว่ารัฐบาลจีนต้องการให้เขาเผยชื่อกลุ่มต่อต้านรัฐบาลให้หมด ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีต่อเขาในข้อหาสายลับ
เขาจึงได้หนีเข้าไปอยู่ในประเทศไทยเพื่อขอลี้ภัยการเมือง
แต่อนิจจาเขาหนีมังกรไปปะ monitor lizards
นี่อีก ชวนให้นึกถึงคดีของนายเธนตร อนันตวงษ์ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุมขณะนอนรอการผ่าตัดอยู่บนเตียงคนไข้โรงพยาบาลสิรินธร
ในข้อหานำลงผังภาพการทุจริตอุทธยานราชภักดิ์ ตาม ม. ๑๑๖
หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเขาเดินทางออกนอกประเทศไปลาว
อ้างว่าเจ้าหน้าที่ต้องการให้เขาเป็นพยานปรักปรำกลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่จึงต้องหนีประกัน
อย่างไรก็ดีต่อมาเขาเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย
โดยมีข่าวว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่ลาวได้เพราะพวกผู้ลี้ภัยชาวไทยที่นั่นไม่ไว้ใจว่าเขาไปเป็นสายลับให้กับ
คสช.
เธนตร 'ตูน' อนันตวงษ์ |
แต่กระนั้นวิธีการจับกุมควบคุมตัวผู้ที่เกี่ยวโยงหรือมีสัมพันธ์กับกลุ่มต่อต้านเผด็จการทางใดทางหนึ่ง
เพื่อบีบคั้นให้ทำตัวเป็นสายลับตามแบบเผด็จการ
นั้นไม่ต่างกันเลยทั้งรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทย
เดอะนิวย้อร์คเกอร์ยกตัวอย่างกรณีองค์การซีไอเอของสหรัฐลักพาตัวอิหม่าม
ฮัสซัน มุสตาฟา โอซาม่า นาสเซอร์ ของอียิปต์ ไปจากท้องถนนกรุงมิลาน อิตาลี่ ในปี
๒๕๔๖ อัยการอิตาลียื่นฟ้องคดีต่อชาวอเมริกัน ๒๓ คน รวมทั้งหัวหน้าสถานีของซีไอเอ
ข้อหาลักพาตัวคนส่งออกนอกประเทศ
ศาลตัดสินความผิดแม้ว่าจะไม่มีจำเลยไปปรากฏตัวแม้แต่สักคน
ทว่าจนบัดนี้ทางการอิตาลีก็ยังมีหมายจับผู้ถูกตัดสินเหล่านั้นที่เป็นผลบังคับใช้อยู่
อันต่างอย่างสิ้นเชิงกับกรณีประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวนิตยสารไทม์ไปทำรายงานสืบสวนถึงคอนโดของกุย
มินไฮ สองเดือนหลังจากเขาหายตัวไป แฮนนาห์ บีช
พบว่าตำรวจไทยไม่เคยสนใจทำคดีการหายตัวของกุยนี้เลย อ้างว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าหากญาติของผู้สูญหายไม่ไปแจ้งความต่อตำรวจในประเทศไทย
ทางด้านภรรยาของลี่ สิน
ที่หายตัวไประหว่างเดินทางจากไทยไปลาว บอกกับสำนักข่าวเสียงจากอเมริกาว่า
ตำรวจไทยปฏิเสธไม่ยอมทำคดีการหายตัวของสามีเธอ
แถมยังบอกให้เธอไปแจ้งกับสถานทูตจีนเอาเองด้วย
อีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้นก็ปรากฏข่าวออกมาจากทางการจีนว่า
ผู้ที่หายตัวไปทั้งสามเดินทางไปมอบตัวกันเอง โดยมีคลิปและคำสารภาพออกมาด้วย
ภรรยาของลี่กล่าวกับหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษว่า
เธอได้รับโทรศัพท์จากสามีแจ้งว่าเขาอยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจจีนแล้ว
เขาได้กลับไปรับการดำเนินคดีด้วยความสมัครใจ แต่เธอเสริมว่า
“ฉันรู้สึกเขาถูกบังคับให้พูด เขาพูดอย่างนั้นโดยขัดกับเจตนาอย่างแน่นอน”