คงต้องบอกว่ารันทด สลดใจ หาก ‘ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ จะต้องยุติงานข่าวผู้ลี้ภัย
เนื่อง “เพราะดูเหมือนสังคมนี้กำลังจะบอกให้ฐปณีย์หยุด จึงต้องคิดทบทวนค่ะ”
หนึ่งใน ‘สังคม’ นั้นบอกว่า “‘นักข่าวสาวช่องน้อยสี’ ถึงกับถอดใจหลังโดนถล่มหนักกรณีนำเสนอข่าวผู้อพยพชาวโรฮีนจา แล้วชาวเน็ตมองว่าเธอดราม่าเกินเหตุ และพูดความจริงไม่ครบถ้วน ซึ่งจะว่าไปประเด็นโรฮีนจาซับซ้อนเกินกว่าจะหยิบขึ้นมาพูดเล่น หรือใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินได้ ล่าสุดเจ้าตัวถึงกับจะขอจบเส้นทางสื่อมวลชน โดยแจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว”
(http://www.siam55.com/news24648.html)
ดราม่าหรือไม่ เห็นจะต้องไล่เรียงเนื้อหาให้เป็นจะเป็นกลอน
ผลงานของเธอล่าสุด Thapanee Ietsrichai added 3 new photos. “ภาพยืนยันจากอาเจะห์ เรือโรฮิงญา ที่ถึงอินโดนีเซียแล้วเช้านี้ เป็นเรือที่เจอในไทยและได้รับการช่วยเหลือเมื่อ 14 -05-2015” และ ๑ ชั่วโมงก่อนหน้า
“๑๒.๓๐ น.ได้รับคำยืนยันจาก Cris Lewa Rohinya Project เรือบรรทุกโรฮิงญา ๔๐๐ คน เดินทางถึงเมืองอาเจะห์ อินโดนีเซียแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังได้รับการช่วยเหลือเรื่องอาหาร ซ่อมเครื่องยนต์และน้ำมันจากทหารเรือไทยเมื่อวันที่ ๑๔ พ.ค. เพื่อเดินทางต่อไปมาเลเซียตามที่แจ้งกับเจ้าหน้าที่ไทย ในเช้าวันที่ ๑๕ พ.ค.และถูกผลักดันจากมาเลเซีย ๒ ครั้ง และออกจากน่านน้ำไทยมุ่งหน้าไปทางอินโดนีเซีย
ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เรือประมงอินโดนีเซียได้นำพวกเขาเข้าฝั่งและได้รับการช่วยเหลือเรื่องน้ำและ อาหารแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการช่วยเหลือทุกคนในเรือปลอดภัย ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางจากน่านน้ำไทย ๖วันไปถึงฝั่งประเทศอินโดนีเซีย หลังเดินทางจากรัฐอะรากัน ๓ เดือน”
ก่อนหน้านั้น May 15 at 5:30 am เธอปรารภว่า “กับการทำข่าวอีกครั้งในชีวิตที่ต้องเจอกับคำว่า ‘พูดไม่ออก’ ป่านนี้พวกเขาจะถึงไหนแล้ว อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ#Rohinya”
ที่ว่าเธอ ‘พูดความจริงไม่ครบถ้วน’ นั่นน่ะประเด็นไหนกันแน่
เช่นที่ ทหารปฏิรูปประเทศไทย เขียนบริภาษณ์สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยกับสหรัฐอเมริกาเอาไว้ และมีคนนำมาแปะบนหน้าเฟชบุ๊คของเธอเองใช่ไหม (ดังภาพ)
หรือว่าเป็นดัง Paskorn Jumlongrach เพื่อนนักข่าวของเธอเล่าเบื้องลึกไว้
“เอกสารที่ทางตำรวจค้นพบครั้งนี้ หากมีการตรวจสอบกันจริงๆจะพบเส้นทางเดินของเม็ดเงินจำนวนนับสิบล้านบาทที่ ขบวนการค้ามนุษย์ส่งส่วยให้กับบุคคลต่างๆ...
การค้ามนุษย์ในจังหวัดระนองเริ่มต้นตั้งแต่ปี ๒๕๕๒-๒๕๕๓ โดยแรกเริ่มทีเดียว เมื่อชาวโรฮิงยานั่งเรือมาถึง หน่วยงานด้านความมั่นคง มักจะผลักดันออกไป โดยใช้เรือขนาดใหญ่บรรทุกได้คราวละ ๗๐๐-๘๐๐ คน ไม่มีเครื่องยนต์ แต่ใช้เรือลากจากฝั่ง เมื่อเข้าใกล้น่านน้ำอินโดนีเซียก็ใช้ผ้าใบกางเพื่อให้ลมพัดเข้าฝั่ง
ว่ากันว่าช่วงนั้นบนเกาะหมู (อยู่ด้านหลังเกาะพยาม) กลายเป็นศูนย์อพยพเถื่อนและมีชาวโรฮิงยาถูกนำตัวมาพักไว้นับพันๆ...
หลายคนในจังหวัดระนองร่ำรวยกันถ้วนหน้า เพราะรายได้มหาศาลจากการขนชาวโรฮิงยา ซึ่งแต่ละเที่ยวได้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านบาท...
ระยะหลังเส้นทางการค้าคนโดยทางบกมีความเสี่ยงมากขึ้น ที่สำคัญคือค่าใช้จ่ายระหว่างทางสูงมาก ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนเส้นทางใหม่โดยใช้เรือดัดแปลง ขนชาวโรฮิงยาผ่านน่านน้ำสากลไปเข้ามาเลซียโดยตรง นั่นจึงเป็นที่มาและจุดจบของ ‘เจ้าพ่อเกาะหลีเป๊ะ’
หากผู้มีอำนาจเลือกที่จะกระพริบตาข้างหนึ่งเพราะเป็นคนกันเอง ฝันร้ายนี้จะติดตามท่านไปตลอด เพราะไม่มีใครปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้”
แต่กระนั้นแรงกระหน่ำก็หนักหนาดุจห่าลง อาทิ มินตายา ต้น ก้ามปู เหน็บแรงๆ “เขาว่านะเห็นขี้ดีกว่าใส้
แหมะๆ ...งูพิษจริง ไหมไม่ลงเรือไปกับมันล่ะจ้า...”
อีกรายตั้งแง่ 'สงสารเขา ทำไมไม่สงสารไทย'
“Kanchat Passadorn นางแยม (ทำข่าว ๑๕ ปี) ต้องรู้ว่าในเรือขนาดใหญ่นี้มีชาวบังกลาเทศมากกว่าโรฮิงยา...จัดหากันโดย? นี้คือการค้ามนุษย์โดย? ขึ้นเรือจากจุดไหน? ๓ เดือนแปลกมาก!! ขาดอาหาร ๗ วันขาดน้ำ ๓ วันตายค่ะ... ถ้านางทำดีจริงคนส่วนมากก็ต้องชื่นชม ดีกับมนุษยชนดีกับประเทศ ทำดีได้ดี ตอนปี ๕๒ สงสารเขามาไม่กี่สิบ แต่ตอนนี้มันอะไรกันมาหลักร้อย เดี๋ยวจะต้องเข้ามาเพิ่มเป็นพัน และเรียกร้องโน่นนั่นนี่ ...ตอนนี้สงสารคนไทย คนชราได้วันล่ะ ๒๐ บาท พวกนี้กิน ๗๕ บาท”
หนักหนาสากรรจ์ก็ตอนคุณหมอเมืองสกล โจนลงมาเฉ่งด้วย “โรงพยาบาลตามเขตชายแดนขาดทุนและเสียเงินไปมากขนาดไหน ไม่มีใครทราบ แต่คนไทยไม่แล้งน้ำใจ คนไทยเป็นชาติที่มีมนุษยธรรมสูงมาก...
จริงๆแล้ว หากคุณฐปณีย์รักในชาติไทย ควรจะสละเวลาที่ทำข่าว โรฮิงยา มาทำข่าวโรงพยาบาลในประเทศไทยรับรักษาคนไข้ต่างชาติที่ยากไร้จากลาว เขมร พม่า รัฐหมดเงินซึ่งเป็นภาษีของคนไทยไปแต่ละปีมากขนาดไหน
หากผมเป็นคุณฐปณีย์ ผมจะเสนอข่าวนี้ออกไปแทน...แต่คุณฐปณีย์ กลับเสนอข่าวทำให้คนมองประเทศไทยเป็นผู้ร้าย ทั้งๆ ที่สามารถทำให้คนทั้งโลกเห็นได้ว่าคนไทยมีจิตใจงามช่วยเหลือคนมากมายขนาดไหน”
คุณหมอนักผ่าตัดผู้มีความรักชาติมากกว่าที่นักข่าวสิทธิมนุษยชนมี สาธยายคุณค่าความเป็นไทยในกรอบสดสวยงดงามของครอบ gala โดยหารู้ไม่ว่า
เรื่องมนุษยธรรมกับฐานันดรที่สี่นั้นอยู่นอกเหนือเส้นเขตแดนและสายเลือด เกินกว่าที่จะแบ่งชาติเขาชาติเรา หรือแยกแยะใครมีน้ำใจมากกว่าใครได้
ฐปณีย์เธอคงเพียงแต่บอกว่า “สิ่งที่เสียใจมากที่สุดขณะนี้คือ การที่ข่าวนี้กำลังทำให้เกิดความเกลียดชังต่อเพื่อนมนุษย์ กำลังถูกเชื่อมโยงการเมือง และส่อเค้าบานปลายถึงความขัดแย้งทางศาสนา” และ
“ต่อข้อกล่าวหาบางเรื่องไม่ถูกต้อง จึงต้องชี้แจงว่า ฐปณีย์ไม่เคยพูดว่าให้ตั้งศูนย์พักพิง ฐปณีย์ไม่เคยพูดว่ารัฐบาลไทยต้องดูแล แต่ได้บอกเล่าถึงชีวิตและชะตากรรมของคนเหล่านี้ ในฐานะนักข่าวที่ได้ขึ้นไปสัมผัสชีวิตบนเรือของผู้อพยพชาวโรฮิงญา”
ซึ่งมันอาจจะลงเอยด้วย “ใบไม้ร่วงอีกหนึ่งใบ ในป่าใหญ่”
“หากการทำหน้าที่ด้วยความตั้งใจดี มันทำให้เกิดความรู้สึกไปมากมายขนาดนี้ คงต้องขอโทษและขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
และถึงเวลาต้องบอกตัวเองให้หยุดจริงๆ ก็เหนื่อยมามากแล้ว ถ้าไม่มีนักข่าวชื่อฐปณีย์ อะไรๆ มันอาจง่ายขึ้น”