วันศุกร์, สิงหาคม 18, 2566

ชะตากรรม ‘เศรษฐา’ สะท้านถึง ‘แสนสิริ’ ‘ต้นทุน’ ที่เกินจะ ‘แบก’ !


Prachaya Nongnuch
11h
·
ชะตากรรม ‘เศรษฐา’
สะท้านถึง ‘แสนสิริ’
‘ต้นทุน’ ที่เกินจะ ‘แบก’ !!
.....
วิกฤต ‘แสนสิริ’ ทางออกอยู่ที่ ‘เศรษฐา’ เท่านั้น

17 Aug 2023
ที่มา SPACEBAR

  • วิบากกรรม ‘เศรษฐา’ สะท้านถึง ‘แสนสิริ’ กรำศึก ‘ชูวิทย์ จอมแฉ’ บทเรียนราคาแพง ‘เก้าอี้นายกฯ’ แลกกับ ‘ต้นทุน’ ทั้งเรื่องการเมือง-บริษัท ที่ต้องเสียไป ยากจะกอบกู้ ดังนั้น ‘ทางออก’ ของเรื่องนี้ อยู่ที่ ‘เศรษฐา’ จะตัดสินใจอย่างไร
อยากรู้อนาคตของตัวเองให้ถามหมอดู ถ้าอยากรู้อดีตให้เล่นการเมือง

‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย กำลังอยู่ในสภาวะนี้ เมื่อ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ออกมาแฉเรื่องราวในอดีตหมาดๆ ของเขา ครั้งที่ยังเป็นซีอีโอบริษัทแสนสิริ จำกัด(มหาชน) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์และในประเทศไทย

ข้อกล่าวหาของ ชูวิทย์ คือ เศรษฐา มีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่าย ฉ้อโกงผู้ถือหุ้นแสนสิริ ด้วยการซื้อที่ดินย่านทองหล่อ ซอย 12 ในราคา 1,000 ล้านบาท จากบริษัท เอ็นแอนด์เอ็น ที่ชูวิทย์เชื่อว่า น่าจะเป็นนอมินิหรือบริษัทบังหน้าของเศรษฐา กับพวก เพราะมีชื่อแม่บ้าน และ รปภ. เป็นกรรมการ ที่ซื้อมาในราคาเพียง 465 ล้านบาท

ฟันกำไร 535 ล้านบาท โดยการ ‘จับเสือมือเปล่า’ ไม่ได้ใช้เงินตัวเองแม้แต่สตางค์เดียว แต่กู้เงิน 1,000 ล้านบาท จากบริษัทลูกของแสนสิริ ที่เศรษฐาก็เป็นกรรมการบริษัทนี้ด้วย เอาไปไถ่จำนองจากธนาคารแลนด์แอนด์ เฮ้าส์ ในวงเงิน 465 ล้านบาท หลังจากนั้นมีการโอนที่ดินแปลงนี้ ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของแสนสิริ ที่เอาไปสร้างคอนโดมิเนียมชื่อ KHUN By YOO

ชูวิทย์ถามว่า เงินส่วนต่าง 535 ล้านบาท หายไปไหน ไปเข้ากระเป๋าใคร ?

วิธีที่ผู้บริหารบริษัทมหาชนเอาเงินบริษัทไปซื้อทรัพย์สินจากบริษัทของตัวเอง ในราคาแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ว่าไปแล้ว บริษัทในตลาดหลักทรัพย์จำนวนไม่น้อยก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ ทำกันเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ถูกแฉ ไม่มีใครโวยวาย เพราะไม่มีผู้บริหารกระโจนเข้าสู่การเมือง และมีสถานะเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อย่างเศรษฐา

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นกับระเบิดบนเส้นทางสู่ทำเนียบไทยคู่ฟ้าของเศรษฐาเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์ ความโปร่งใสของแสนสิริด้วย เพราะเรื่องที่ชูวิทย์กล่าวหาเศรษฐา เป็นการกล่าวหาแสนสิริที่เป็นบริษัทมหาชนด้วยว่า โกงผู้ถือหุ้น มีกรรมการ ผู้บริหารบริษัทผ่องถ่ายเงินออกจากบริษัท ปล่อยเงินกู้ให้ผู้บริหารไปซื้อที่ดินในราคาถูก มาขายให้บริษัทในราคาแพง โดยที่กรรมการคนอื่นๆ ยินยอม ทั้งโดยรู้หรือไม่รู้

แสนสิริ ออกแถลงการณ์ปฏิเสธว่า ไม่ได้ซื้อที่ดินจากนอมินี แต่ซื้อที่ดินโดยตรงจากเอ็น แอนด์ เอ็น พินิช คำยศ , พีระพงษ์ ทานรัมย์ และสมศักดิ์ มติยาภักดิ์ ที่ชูวิทย์บอกว่าเป็น แม่บ้าน และ รปภ. เป็นคนของเอ็นแอนด์เอ็น และเงิน 1,000 ล้านบาท ไม่ได้จ่ายให้ผู้ขายแต่เป็นการจดจำนอง ที่ครอบคลุมราคาที่ดินและค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้น อันเนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของผู้ขาย

จะมีสักกี่คนที่เชื่อว่า พินิช พีระพงษ์ และ สมศักดิ์ คือ เจ้าของ หรือผู้บริหารเอ็นแอนด์เอ็น ตัวจริง ที่มีอำนาจเต็มในการทำดีลซื้อขายที่ดินพันล้านกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย

แถลงการณ์นี้เต็มไปด้วยจุดอ่อน ผู้ที่ติดตามการแฉของชูวิทย์อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ทันทีว่า แถลงการณ์นี้ ไม่ได้หักล้างข้อกล่าวของชูวิทย์ได้เลยแม้แต่ข้อเดียว เป็นแค่ความพยายามที่จะตอบโต้ ที่มีข้อจำกัด ไม่สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงได้เลย

การแฉของชูวิทย์ไม่ได้ส่งผลกระทบในทางการเมืองต่อตัวเศรษฐาโดยตรงเท่านั้น แต่ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อเนื่องไปถึง แสนสิริ ในฐานะบริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วยว่า เป็นบริษัทที่โปร่งใส ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีธรรมาภิบาลจริงหรือ และจะต้องตกเป็นเป้าหมายในการตรวจสอบของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ

แสนสิริไม่ได้มีผู้ถือหุ้นคนไทยเท่านั้น แต่มีผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งที่เป็นนักลงทุนต่างชาติ ที่ถือหุ้นแสนสิริ เพราะเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบน ที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวที่ดี ผู้ถือหุ้นรายย่อยคนไทยอาจไม่สนใจว่า ผู้บริหารโกง แต่ผู้ถือหุ้นต่างชาติที่เป็นนักลงทุนสถาบัน ให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาลมาก เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่ง ในการตัดสินใจลงทุน

การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จะมีขึ้นในวันที่ 22 สิงหาคม เป็น 5 วัน อันตรายของแสนสิริ เพราะชูวิทย์ประกาศว่า ไม่หยุดแฉ เขาประกาศว่า เรื่องต่อไปคือ การซื้อที่ดินแปลงใหญ่ติดถนนสุขุมวิท ซอย 12 และเรื่องของ “เบ้ง” หรือ “ขงเบ้ง” อดีตคู่เขยเศรษฐา ที่มีบทบาทในการทำดีลใหญ่ๆของแสนสิริ

อภิชาติ จูตระกูล ประธานกรรมการแสนสิริ ผู้ก่อตั้งบริษัทและหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก รู้ดีว่า วิธีเดียวที่จะหยุดชูวิทย์คืออะไร ทำอย่างไรจะกอบกู้วิกฤตภาพลักษณ์ของแสนสิริไม่ให้บอบช้ำมากไปกว่านี้จนเกินเยียวยา

ทางออกอยู่ที่ การตัดสินใจของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ คนเดียวเท่านั้น