วันอังคาร, สิงหาคม 29, 2566

บันทึกเยี่ยม ‘มาร์ค-ธี-มาย-บาส’: เรือนจำสนใจข่าวสารเรื่องทักษิณกลับมา และการประกันตัวของพวกเขา



บันทึกเยี่ยม ‘มาร์ค-ธี-มาย-บาส’: เรือนจำสนใจข่าวสารเรื่องทักษิณกลับมา และการประกันตัวของพวกเขา

28/08/2566
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

เมื่อวันที่ 23-24 ส.ค. 2566 ทนายความเดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเยี่ยม 4 ผู้ต้องขังทางการเมือง ได้แก่ “มาร์ค” ชนะดล ผู้ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง (ระเบิดปิงปอง) จากกรณีเข้าร่วมชุมนุมบริเวณดินแดง เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2564 หลังอัยการสสั่งฟ้อง ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวมาร์คระหว่างพิจารณา

นอกจากนี้ยังเข้าเยี่ยม “ธี” ถิรนัย และ “มาย” ชัยพร ซึ่งถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษาในคดีครอบครองวัตถุระเบิด (ระเบิดปิงปอง) ก่อนมีการชุมนุม #ม็อบ29สิงหา64 ซึ่งไม่ได้ประกันตัวมาตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2566 ภายหลังศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี และได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาไปแล้ว

“บาส” ประวิตร ซึ่งถูกศาลอาญาพิพากษาในความผิดข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และวางเพลิงเผาโรงเรือนฯ รวมจำคุกทั้งสิ้น 6 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงการลงโทษ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2566 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกันวางเพลิงป้อมตำรวจจราจร บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง ภายหลังการชุมนุม #ม็อบ10สิงหา2564

.
ชนะดล: ได้ฟังข่าวก็ดี แต่รู้สึกแย่ที่บ้านเมืองมันจะเป็นแบบนี้

วันนี้มาร์คนั่งรอด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายและสิ้นหวังมาก เขากล่าวทักทายอย่างเนือยๆ และบอกว่าตอนนี้เบื่อมากๆ ไม่สดชื่นเลย แม้จะพยายามบอกเล่าถึงข่าวสารเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ มาร์คก็ไม่มีท่าทีดีขึ้น

“ผมหมดคำจะพูดจริงๆ พี่ ได้ฟังข่าวจากพี่มันก็ดี แต่มันก็รู้สึกแย่นะที่บ้านเมืองมันจะเป็นแบบนี้จริงๆผมลุ้นกับการเลือกตั้ง ลุ้นกับการประกันตัวเองมาตลอด สุดท้ายก็ผิดหวังทั้งสองอย่าง คือมันเลยไม่รู้จะตามทำไม แต่ก็ยังอยากรู้แหละ

“ฟังข่าวทักษิณก็ไม่รู้จะพูดอะไร ของพวกผมแค่ประกันตัวยังไม่ได้เลย ผมยิ่งรู้สึกแย่กับกระบวนยุติธรรมประเทศเรา พวกผมขอประกันตัว ไม่เคยได้รับความยุติธรรมเลย ศาลเอาแต่บอกว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยจะหลบหนี ผมมารายงานตัวตลอด ตำรวจเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมผมก็ไป

“ตอนนี้ใจผมมันรอแต่วันออกศาลอย่างเดียวเลย มันเบื่อๆ เบื่อมันทุกวัน อยู่ที่ว่าวันไหนจะมากจะน้อย แต่อย่างที่พี่เห็นแหละ วันนี้ผมเบื่อมากจริงๆ” วันออกศาลที่มาร์คหมายถึง คือนัดสืบพยานในคดีของเขาที่มีกำหนดในวันที่ 24-25 ต.ค. 2566 นี้

ตลอดการพูดคุยกันมาร์คดูเหนื่อยมากและกุมศีรษะตลอดเวลา เมื่อสอบถามถึงสุขภาพของเขา “ผมคงคิดมากแหละ มันปวดหัวเป็นระยะๆ ช่วงนี้ข้างในมันร้อนมาก ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เหมือนจะไม่สบาย”

.
ถิรนัย: บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนโดนทิ้ง

ทนายความสังเกตว่า ธีมีท่าทีเบื่อ เซ็ง ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม ปกติเขาจะถามนู่นถามนี่เรื่องการเมืองหรือความเคลื่อนไหวข้างนอก แต่วันนี้เขาดูเนือยมาก

ธีบอกว่า “เบื่อ ช่วงนี้ผมกินข้าวไม่ลงเลย เครียด นั่งเหม่อลอยทั้งวัน กว่าจะข่มตานอนได้ ก็เกินตีหนึ่งทุกคืน หนังสือในแดนผมก็อ่านแล้วอ่านอีก แม่ง โคตรสงสารตัวเอง ทำไมต้องจับพวกผมมาเข้าคุก มันต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ ผมไม่เคยทำความผิดมาก่อน ของพวกนั้นยังไม่ได้ใช้เลยด้วยซ้ำ แค่ส่งไปอบรมเรื่องการชุมนุมก็พอแล้วไหม”

เขาพูดต่อเรื่องความหวังเกี่ยวกับการประกันตัวของตัวเองว่า “ท้อ อยากรู้ว่าพวกผมจะต้องอยู่ในนี้อีกนานไหม แม้แต่เรื่องอุทธรณ์ของตัวเองยังไม่กล้าหวังว่าจะได้เลย เพราะทุกครั้งที่หวัง ผมผิดหวังตลอด”

“คิดว่าถ้าคนข้างนอกเข้าใจความรู้สึกผมก็คงดี บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนโดนทิ้ง รู้สึกว่าทุกคนลืมเราไปแล้ว ทั้งคนข้างนอก และนักการเมืองที่ผมเอาใจช่วยมาตลอด เรื่องเลือกตั้งผมก็เขียนจดหมายบอกตะวันว่าผิดหวัง ไม่รู้เลือกตั้งไปทำไม เลือกพอเป็นพิธี เป็นประเพณีงั้นเหรอ อยู่ข้างในก็โดนล้อว่า วันนี้ไม่วิ่งอีกเหรอ ผมก็มานั่งตลกตัวเองที่คาดหวังมากไป”

ธีบอกว่าการมีทนายความมาเยี่ยม ทำให้เขาหายเบื่อได้บ้าง “ผมโคตรดีใจ รีบออกมาเลย เพราะอยู่ข้างในเบื่อมาก ไม่รู้จะทำอะไร มาคุยกับพี่ก็ยังได้ออกมาหน้าแดน ได้ฝากส่งข้อความไปหาคนข้างนอก”

เมื่อเล่าเรื่องสถานการณ์การโหวตนายกรัฐมนตรีให้เขาฟัง ธีได้แสดงความเห็นว่า “คนไม่ค่อยสนใจเรื่องโหวตนายกแล้ว แต่สนใจเรื่องทักษิณมากกว่า อยากฝากถึงพรรคเพื่อไทยว่า ปี 2563-2564 มีคนเจ็บ มีคนตาย มีคนโดนจับจากการออกมาชุมนุมเท่าไหร่ หนึ่งในนั้นก็คือผม

“ถ้าผมรู้ว่าออกไปเรียกร้องแล้วสุดท้ายจะได้รัฐบาลหน้าเดิม พวกผมไม่ออกมาหรอก คุณไม่เห็นหัวประชาชน ไม่สนใจ ไม่ได้มองเลยว่าครั้งหนึ่งเคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาด้วยกัน พอได้อำนาจตามต้องการแล้ว ก็กลายเป็นแบบนี้เหรอ

“ถ้าผมได้ออกไป ผมจะออกไปพูดเรื่องเพื่อไทยทรยศประชาชน ยังจำตอนที่ทักษิณมาออกคลับเฮ้าส์แล้วพูดให้กำลังใจเด็กที่ออกมาเรียกร้องได้อยู่เลย ผิดหวัง แม่งโคตรผิดหวัง อนาคตพวกผมต้องมาอยู่กันแบบนี้เหรอ หรือพวกผมเป็นแค่เด็กเหลือขอคนหนึ่ง ไม่มีคุณค่า หรือพวกผมไม่ดังพอ เสียงของผมถึงไม่มีใครได้ยิน”

“ผมจะรอดูอีก 3 เดือน ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจากการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้”

“ทุกคนเข้ามาคุยกับผม ดีใจที่ทักษิณกลับมาเพราะคิดว่าจะได้อภัยโทษกัน” ธีพูดถึงความหวังสถานการณ์ของคนในเรือนจำทิ้งท้าย

.
ชัยพร: ผมจะทิ้งพ่อทิ้งแม่แล้วหนีไปเหรอ ไม่มีทางอยู่แล้ว

มายบอกว่าเขาสบายดี ดูกระตือรือร้นมากกว่าธี เขาบอกว่า หัวข้อยอดฮิตในเรือนจำตอนนี้ ต้องเป็นเรื่องทักษิณกลับมา

“หนีไม่พ้นจริงๆ ครับ ขนาดพวกผมไม่ค่อยได้เสพข่าว ข่าวก็จะวิ่งมาหาเอง (หัวเราะ) เกมการเมืองมันเหมือนโชว์เล่นปาหี่ ไม่อยากรับรู้มันแล้ว สรุปเราไปเลือกตั้งกันทำไม ในเมื่อเสียงข้างมากของประชาชนยังตั้งรัฐบาลไม่ได้”

มายแสดงความเห็นถึงกระแสการกลับประเทศของทักษิณว่า “ผมรู้ว่าทักษิณจะต้องได้อภิสิทธิ์เยอะ คนอย่างเขาไปอยู่ประเทศไหนก็ได้ ลูกหลานบินมาหาตอนไหนก็ได้ แล้วทำไมต้องกลับมาอยู่ไทย? เพราะทุกอย่างถูกเตรียมการไว้แล้วไง เขาจะมาติดคุกจริงๆ เหรอ

“เมื่อวาน (22 ส.ค. 2566) งดเยี่ยมญาติ ผมรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำชัดเจนเลยนะ ทำไมเขาถึงลิดรอนสิทธิผู้ต้องขังทั้งเรือนจำแบบนี้

“ผมเกิดมาเป็นคนไทย ผมรักประเทศ แต่ผมก็เบื่อการเมืองมาก มันเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ เบื้องหลังมันเน่าเฟะมาก แค่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในคุกได้”

มายยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองต่อว่า “คนเลือกเพื่อไทยก็เพราะสิ่งที่เขาหาเสียง แต่พอเลือกมาแล้วไม่ทำตาม ก็เหมือนซื้อของออนไลน์แล้วได้ของไม่ตรงปก ผมไม่ได้อยากฝากอะไรถึงสภาหรือพรรคเพื่อไทยนะ คิดว่าฝากไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะขนาดประชาชนที่เลือกคุณมา คุณยังไม่ฟังเสียงเขาเลย พี่เอที่เป็นคนเสื้อแดง เขาก็รับไม่ได้ เอาเป็นว่าได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ช่วยพัฒนาประเทศด้วยละกัน”

เมื่อเล่าให้มายฟังว่า ‘วารุณี’ ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง กำลังอดอาหารเพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัว

เขาฝากให้กำลังใจวารุณี พร้อมออกความเห็นว่า “ไม่ได้ประกันเพราะอัตราโทษสูง ผมคิดว่าผมเข้าใจ ทุกคนที่ไม่ได้ประกันมีคำถามเดียวกันหมดว่าทำไม ถ้ากลัวว่าจะหลบหนี ก็ควรดูเงื่อนไขของแต่ละคนด้วย อย่างผมไม่เคยบินออกนอกประเทศเลย ไม่ได้รวยล้นฟ้า คิดดูว่าผมจะทิ้งพ่อทิ้งแม่แล้วหนีไปเหรอ ไม่มีทางอยู่แล้ว”

.
ประวิตร: ย้ำถึงความเป็นห่วงภรรยากับลูก

เมื่อเริ่มถามไถ่และสวัสดีตามปกติ บาสก็ทักทายด้วยน้ำเสียงปกติ เขาบอกว่าสบายดี ตอนนี้ว่างเพราะว่าออกจากช่วงฝึกแล้ว อยู่ระหว่างรอเข้ากองงาน สุขภาพก็ดีอยู่ เมื่อได้ชวนคุยเรื่องความเป็นอยู่ทั่วไปในเรือนจำ โดยเฉพาะเรื่องการนอนว่าแออัดหรือไม่

“ห้องนอนก็สะอาดอยู่ ในห้องนอนมีกัน 44 คน พอนอนได้ไม่ค่อยเบียด เว้นกันประมาณหนึ่งศอกกว่าๆ ก็คือนอนพอดีตัว”

บาสบอกว่าเริ่มเบื่อนิดหน่อย “อยากกลับบ้าน”

“เมื่อวันที่ 22 เหมือนเรือนจำปิดทำการไปเลย เลยทำให้ไม่ได้รับจดหมายด้วย เหมือนว่าญาติก็เข้าเยี่ยมไม่ได้ด้วย” เขาบอก

บาสถามถึงเรื่องอาการป่วยของภรรยาและลูก ซึ่งเขาไม่ทราบความเป็นไปเลย เพราะว่าจดหมายไม่เข้า เลยไม่ทราบว่าที่บ้านเป็นอย่างไร และเมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัว เสียงบาสก็ดูเศร้าลง เนื่องจากบาสทราบข่าวว่าลูกติดไข้หวัดจากภรรยา เลยเป็นห่วงทั้งสองคนมาก ยิ่งไม่ทราบข่าวบาสก็ยิ่งเป็นกังวล

ทั้งนี้ทนายความได้ยื่นประกันตัวประวิตรอีกครั้ง เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ส.ค. 2566 ก่อนที่ศาลอาญาจะส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา

จนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ส.ค. 2566 ศาลอุทธรณ์ยังคงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวประวิตรระหว่างอุทธรณ์ โดยให้เหตุผลว่าข้อหามีอัตราโทษสูง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปี 4 เดือน มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ประกอบกับศาลอุทธรณ์เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์มาแล้ว และเหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม