วันพุธ, กุมภาพันธ์ 10, 2564

"สักแต่ว่าพูดตามที่เขาสั่ง " ลิ่วล้อเผด็จการเหมือนกันหมด ไม่สู้อย่างพม่า ก็ต้องอยู่อย่างไทย


“ถ้าวัคซีนมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ แล้วรัฐบาลจะเอาเงินไปให้สยามไบโอไซน์ ๖๐๐ ล้านทำไมครับ” เป็นคำถามที่สมแก่เหตุอย่างยิ่ง ต่อกรณีที่ หมอทีวีสีมีปากไว้ใช้หน้ากากผ้าอนามัยปิดเท่านั้น คำพูดจริงๆ ว่ามาช้าเร็วไม่มีผลเพราะคนไทยใช้หน้ากากได้

เป็นการสักแต่ว่าพูดตามที่เขาสั่ง อย่างเดียวกับผู้พิพากษาศาลอาญา เทวัญ รอดเจริญ ที่ว่า “คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง อีกทั้งการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระ ตามข้อกล่าวหาเดิม หลายครั้งหลายครา”

จึงสั่งไม่อนุญาตให้ทำการปล่อยตัวชั่วคราวต่อผู้ถูกกล่าวหาความผิดอาญา ม.๑๑๒ และ ๑๑๖ สี่คน จากการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร อ้าง “มีเหตุอันควรเชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก”

แบบนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนชี้ว่าเป็นการ “พิพากษาจำเลยทั้งสี่คนก่อนล่วงหน้า โดยยังไม่ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานและข้อต่อสู้คดีของคู่ความแต่อย่างใด” ตามหลักแห่งเหตุและผลของระบบนิติธรรมทางคดีอาญานั้น ให้สันนิษฐานไว่ก่อน

ว่าผู้ถูกกล่าวหาบริสุทธิ์ จนกว่าศาลได้ฟังความทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยอย่างเท่าเทียมกัน แล้วถึงซึ่งคำพิพากษาให้เอาผิดแก่จำเลย มิใช่ใช้เพียงความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ของผู้พิพากษาเอง และจะอ้างภายหลังว่า นายสั่ง อย่างตำรวจก็ไม่ได้ด้วย

มิฉะนั้นจะเป็นการลำเอียงและเอาเปรียบ “ทำให้จำเลยไม่ได้โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และหากภายหลังศาลพิพากษายกฟ้องก็ไม่อาจเยียวยาสิทธิเสรีภาพของจำเลยที่สูญเสียไปจากการถูกขังระหว่างพิจารณาได้”


นี่เป็นเหตุสุกงอมได้ที่ดียิ่งของการกลับมาจัดชุมนุมประท้วงรายวันกันอีก เริ่มวันนี้ ๕ โมงเย็นที่สกายว้อค ศูนย์มาบุญครอง ให้สมกับคำปาวารณาของ อานนท์ นำภา หนึ่งในสี่ผู้ต้องหาที่ถูกศาลสั่งให้ทำการควบคุมตัวระหว่างถูกดำเนินคดี

“ขังฝนเม็ดเดียว เขาจะเจอกับห่าฝน” อันมิใช่เพียงข้ออ้างเพื่อจะชักชวนกันออกมาชุมนุมและยกระดับต่อไปอีก ในเมื่อข้อเรียกร้องต่างๆ ที่เสนอไว้ผ่านๆ มา ไม่ได้รับการพิจารณาหรือแม้แต่เงี่ยหูฟัง ทั้งในเรื่องร่างรัฐธรรมใหม่ และปรับแก้อำนาจกษัตริย์

ขณะที่ขบวนการต่อต้านรัฐประหารในพม่า ที่ดำเนินอยู่ติดต่อกันมาเป็นอาทิตย์แล้วนี้ หลายสิ่งหลายอย่างนำเอาวิธีการที่เกิดในการประท้วงของราษฎรไทย ไปใช้อย่างลุ่มลึกในความยึดมั่นหลักการ แล้วเกิดผลคืบหน้าชวนให้เกิดพลังอย่างน่าทึ่ง

ขณะที่ฝ่ายทหารผู้ยึดอำนาจในพม่ายกระดับการปราบปราม ชนิดเลียนแบบเผด็จการไทยแทบทุกกระเบียดนิ้ว ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าการใช้รถฉีดน้ำแรงสูงฉีดใส่ผู้ชุมนุม เข้าใบหน้าจนฟกช้ำและปริแตกกันไปมากรายแล้ว ยังมีการยิงใส่ได้รับบาดเจ็บหนัก


กระสุนที่ยิงจากปืนของตำรวจใส่ผู้ประท้วงที่เนปิวดอร์เมื่อวาน (๙ กุมภา) พุ่งเข้าศีรษะสตรีคนหนึ่งถึงกับหมดลมหายใจไประยะหนึ่ง ถึงแม้แพทย์สามารถกู้กลับมาให้สามารถหายใจผ่านเครื่องได้ ก็ยังอยู่ในอาการหนักเป็นตายเท่ากัน

โดยจิตสำนึกแห่งมนุษย์ปุถุชน เหตุการณ์อย่างนี้ทำให้ตำรวจและข้าราชการที่ยังอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้ยึดอำนาจ บังเกิดความแกร่งกล้าที่จะไม่ยอมหงอเป็นข้าทาสหรือสุนัขเลี้ยงเช่นที่มีในไทย ข้าราชการพม่าจำนวนมากออกไปร่วมเดินขบวนชูสามนิ้วกับประชาชน

แล้วยังมีตำรวจหน่วยปราบจลาจลหลายคน ที่ประจำการอยู่กับรถฉีดน้ำใส่ฝูงชนอดรนทนไม่ไหว เดินข้ามฟากไปยืนอยู่ฝั่งผู้ประท้วง ใช้โล่ห์ประจำตัวยกสกัดกั้นแรงน้ำจากรถฉีดให้แก่ประชาชน ปรากฏการณ์อย่างนี้แหละ จะทำให้พม่ารอดพ้นอุ้งตีนเผด็จการได้

ความตระหนักรู้เช่นนี้แหละที่ยังฝังอยู่ในหัวคิดของประชากรไทย ผู้ซึ่งกระจ่างแก่ใจแล้วว่า อนาคตแห่งการมีชีวิตอิสระ มีเสรีภาพในการคิดค้นและเชื่อถือหลักการแห่งสิทธิมนุษยชนนั้น ไม่อาจได้มาด้วยความกรุณาปราณีของผู้กดขี่ นักยึดอำนาจ

กลุ่มคนพวกนั้นจะไม่มีวันยอมให้คนส่วนมากมีโอกาสได้เท่าทันตนเป็นอันขาด พม่าถึงได้บอก ถ้าไม่สู้ก็ต้องอยู่อย่างไทยไปอย่างน้อยๆ เจ็ดชั่วโคตร

(https://www.facebook.com/lawyercenter2014/posts/3648221861894308, https://tlhr2014.com/archives/25821... และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/2675433196082889)