“กลับมาแล้ว เหมือนเดิม...ซ้ำเพิ่มมากกว่า” ถ้าจะเอาอารมณ์โลกสวยมาประกอบกับการต่อสู้ของม็อบราษฎรระลอกใหม่ จากเคาะกาละมังและโขกกะลาบนสกายว้อค ถึงยาตราไปยัง สน.ปทุมวัน ดันแถวตำรวจถอยก่อนประกาศ พบกันใหม่ ๑๖ และ ๑๙ ก.พ.
“ทุกคนไม่ได้หายไปไหน แต่รอจังหวะว่าจะกลับมาตอนไหนที่ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน อยากให้ทุกคนเตรียมพร้อมในการลงถนนสู้ด้วยกัน ขอให้ทุกคนตั้งสติ เตรียมพร้อมในทุก ๆ วัน” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แจ้งว่าจะมีการประกาศวันต่อวัน
รุ้ง-ไม้ค์-ครูใหญ่ และอีกหลายๆ คนยังยืนหยัดข้อเรียกร้องเดิมของกลุ่มเยาวชน ขับไล่ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่างรัฐธรรมนูญใหม่จากประชาชน และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ “ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องปฏิวัติ” ตามคำพูดของภาณุพงศ์ จาดนอก
ไม่ว่า อานนท์ พริษฐ์ สมยศ และแบ๊งค์ ชุดสี่คนที่ถูกคุมขังล่าสุดจะติดอีกนานแค่ไหน ดังที่มีการประเมินว่าหากศาลไม่ยอมปล่อยตัวตอนทนายยื่นอุทธรณ์คำสั่งละก็ ความเผ็ดร้อนทางการเมืองในไทยจะกระหึ่มอีกรอบด้วยฉากหลังของการต้านเผด็จการพม่า
ในเมื่อสิ่งที่อานนท์ หนึ่งในผู้ถูกควบคุมตัว ฝากข้อความจากเรือนจำ “อัยการฟ้องผมดังนี้ ผมพูดผิดตรงไหน” ให้สาธารณชนและประชาสากลพิจารณา “เจ้าของคอกม้าคือพระมหากษัตริย์ เป็นที่มาของการรัฐประหาร ๑๙ กันยา” (จากคำพูดของ เปรม ติณฯ)
“ปี ๒๕๖๐ รัฐธรรมนูญผ่านการลงมติ ทูลเกล้าฯ ขึ้นไป ในหลวงองค์ปัจจุบันสั่งให้แก้ ถ้าเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทำไม่ได้” และ “หนึ่งในข้อเสนอของธรรมศาสตร์และการชุมนุม คือการปรับลดงบประมาณของสถาบันกษัตริย์
ปีนึง ๒ หมื่นล้าน เอาไปทำอะไร ในขณะที่คนอดมื้อกินมื้อ ท่านไม่เห็นหรือว่าบ้านเมืองมันเดือดร้อน” เป็นส่วนหนึ่งในคำฟ้องที่ว่าจำเลย “บังอาจหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย...” ไหม เนื้อหาล้วนเป็นความจริงทุกอย่าง
หากจะบอกว่านี่เป็นเพียงการสั่นกระดิ่งถวายฎีกาในบริบทของสังคมยุคศตวรรษที่ ๒๑ แล้วมันจะเป็นการบังอาจเชียวหรือ โดยเฉพาะในเมื่อหลักนิติธรรมสากลตามสามัญสำนึกของมนุษยชน การ ‘บังอาจ’ มิใช่เป็นสิ่งคอขาดบาดตายหรืออาชญากรรมร้ายแรง
ฉะนี้ การที่พรรคก้าวไกลยื่นเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเสรีภาพ และความอาญามาตรา ๑๑๒ ด้วยรายชื่อสมาชิก ๔๔ คน เพื่อให้ “คงเหลือแต่โทษปรับ” ในความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป และลดโทษคุกกรณี ๑๑๒ ไม่ให้รุนแรงมากเกิน
จึงสอดคล้องกับบรรยากาศ ไม่ต้องการและ/หรือทนรับระบอบเผด็จการ ที่กำลังกระหึ่มอยู่ในภูมิภาคขณะนี้ รวมทั้งบรรยากาศต้านการข่มเหงกดขี่ประชากรที่เห็นต่างในไทย ซึ่งหมู่คนที่ห้อยโหนศักดินาได้ประโยชน์ เช่นกลุ่ม ‘ไทยภักดี’ กำลังโหมขณะนี้
และไม่ว่าประยุทธ์จะ ‘คำราม’ หรือ ‘สำราก’ ขนาดไหน “ยังไม่เข็ดหลาบกันอีกหรือ” มันไม่ใช่เรื่องของการเข็ดหลาบ หากแต่เป็นสภาพที่ฝ่ายรัฐเอาแต่ใช้การกดทับ หมายจะให้แหลกราญเป็นฝุ่นใต้ตีน อันเป็นไปไม่ได้เมื่อผู้คนมีเลือดเนื้อและจิตสำนึก
แม้นว่าเยาวชนที่ถูกจับตัวไปในวันนี้ได้ประกันหมดแล้ว “แต่เพื่อนเราอีกสี่คนถูกฝากขังเมื่อวานรวมถึงอัญชัญ ยังไม่ได้รับการประกันตัว” อรรถพล บัวพัฒน์ กล่าวในการปราศรัย “ดังนั้นเราจะต้องสู้ต่อไป” อันสอดรับกับความกระตือรือล้นของผู้ร่วมชุมนุม
สภาพมวลชนเรือนร้อยเผชิญหน้ากับแถวตำรวจในชุดปราบจลาจลครบเครื่อง ที่หน้า สน.ปทุมวัน ตามคำเล่าพร้อมภาพของ Noi Thamsathien ตอนปลายๆ ของการชุมนุม #ม็อบ10กุมภา ก่อนที่รุ้งจะประกาศยุติเมื่อเวลาราวสามทุ่ม
“ตอนนี้ตำรวจถอย มี ปชช. เดินตามไป ปชช.แถวนี่ดุมาก ตะโกนต่อว่าตำรวจ อายพม่ามั้ย ตร. พม่าเค้าถอดเครื่องแบบมาอยู่กับ ปชช.” ผู้โพสต์บอกด้วยว่า “บรรยากาศสุดติ่ง มีคนไปเปิดเครื่องเสียงร้องเพลง The final countdown”
นั่นคือเป้าหมาย จะกี่เดือนกี่ปีที่ต้องนับถอยหลังกี่ครั้งกี่หน ก็ยังคงส่งสำเนียงเคล้าทำนองของคณะ ‘เป็นไปไม่ได้’ อยู่เสมอทุกครั้งไป “จากวันนั้นพบกันในวันนี้ใหม่ ด้วยใจยังรักและยังห่วงหา เจอะวันนี้ซึ้งดีไมตรีเหนือกว่า กลับมาเพิ่มรักกันทันที”
(https://www.facebook.com/Noppakow.kong/posts/1012163282525434, https://www.facebook.com/waymagazine/posts/10157589517591456 และ https://prachatai.com/journal/2021/02/91624)