วันจันทร์, ธันวาคม 09, 2562

เรื่องนี้ทำให้เห็นภาพชัด "คำพิพากษาไม่มีความหมาย เพราะมีแต่กระดอกับค้อน คนที่จะบังคับใช้หรือไม่ใช้กฎหมายได้ คือคนที่มีปืน"



กรณีที่ศาลฎีกา ตัดสินจำคุก ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ สส พลังประชารัฐ แล้ว แต่เจ้าตัวยังเข้าไปสภาโหวตได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมตอนนี้ก็ยังไม่ต้องไปจำคุกตามคำพิกษาศาลฎีกาอีก ถ้ามองย้อนหลังไล่เรียงไปที่ต้นเหตุที่ทำให้ ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ มาถูกศาลฎีกาตัดสิน แต่ไม่ต้องติดคุกนี่ แม่งเห็นเหตุความอยุติธรรมรายทางของคดีนี้เต็มไปหมดเลย จนไม่อาจจะเรียกว่า ประเทศไทยแม่งเป็นนิติรัฐ

ไล่มาตั้งแต่ ที่ตอนไวพจน์ ยังร่วมกับเสื้อแดง ไปบุกการประชุมอาเซียนที่พัทยา

ก็เพราะ พันธมิตร เสื้อเหลือง แม่งไปยึดทำเนียบและสนามบิน จนศาลรัฐธรรมนูญต้องตามใจยุบพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้น ให้อภิสิทธิ์ เป็นนายก นี่อยุติธรรมหนึ่งแล้ว

เสื้อแดง เห็นพันธมิตรเสื้อเหลือง ชุมนุมได้ไม่โดนลงโทษ ก็เอาบ้าง แต่ผลกลับไม่เหมือนกัน เสื้อแดง ติดคุก ตาย กันมากมาย นี่อยุติธรรม สองแล้ว

โดนคดีเดียวกัน เหมือนกันแท้ๆ แต่ไอ้คนที่ย้ายพรรคไปอยู่ พรรคพลังประชารัฐ กลับได้รับการยกเว้นอย่างหน้าตาเฉย

ของ แรมโบ้ อีสาน นี่ก็เหี้ยหน้าด้านสุดๆ แม่งใช้วิธีส่งฟ้องไม่ทันคนเดียว หลุดคดีไปหน้าตาเฉย ในขณะที่เพื่อนๆ โดนตัดสินจำคุก 4 ปี นี่ก็อยุติธรรมอีกหนึ่ง

ไอ้ต้นเหตุเสื้อเหลืองพันธมิตร ที่ปิดทำเนียบปิดสนามบิน โดนจำคุกแค่สามเดือน ส่วนเสื้อแดงโดนสี่ปี นี่ก็อยุติธรรมอีกหนึ่ง

และท้ายสุดเหี้ยแบบไม่มีอะไรจะมาเปรียบ น่าจะที่สุดของประเทศไทย เป็นการสร้างปรากฏการณ์ความอยุติธรรมที่เหี้ยที่สุดแล้วคือ โดนศาลฎีกาตัดสินจำคุก แต่ไม่ต้องไปจำคุกเพราะว่าอยู่พรรคพลังประชารัฐ

นี่ยิ่งกว่า พรรคพลังประชารัฐ และรัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาตีนเหยียบขี้หมาแล้วมาขยี้หน้า ผู้พิพากษาศาลฎีกาซะอีก

ก็ทำไมอ่ะ อยู่พรรคกู ต่อให้ศาลฎีกาตัดสินแล้ว ก็ทำเฉยๆได้ เพราะมีกองทัพทั้งกองทัพหนุนหลังอยู่

แต่ข้อดีประการเดียวของ เหตุการณ์นี้คือทำให้ได้ข้อสรุปว่า ใครอยากมีอำนาจในเมืองไทย ต้องคุมอาวุธอยู่ในมือ เพราะต่อให้กฎหมายตัดสินถึงที่สุดยังไง ศาลแม่งก็ไม่มีปัญญาเอาคนที่ถูกตัดสินไปคุมขังเองได้ เพราะมีแต่กระดอกับค้อนบนบัลลังค์ คนที่จะบังคับใช้หรือไม่ใช้กฎหมายได้ คือคนที่มีปืนเท่านั้น