เรื่องทหารกับการเมือง (ยุคหัวหน้ารัฐประหารเปลี่ยนผ่านไปสู่นักการเมืองที่เคยเป็นทหาร)
นี่ ถ้าถามแม่ทัพภาคสี่ก็ตอบอย่าง พอมาถึงภาคสอง มีคนตอบแทนให้อีกอย่าง
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง (๘ สิงหา) พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช
แม่ทัพภาคที่ ๔
ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย
(กกล.รส.ทภ.๔)
ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองในภาคใต้ว่า เริ่มคึกคักขึ้น
“ทั้งนี้
ทางทหารเราจะพยายามดูแลสถานการณ์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีความสงบ แต่ถ้านักการเมืองกลุ่มใดก็ตาม
หากถูกคุกคามหรือมีอะไรต่างๆ เกิดขึ้น ก็สามารถร้องขอให้เราไปช่วยเหลือได้”
แม่ทัพภาคสี่ยังย้ำด้วยว่า “กองทัพภาคที่ ๔ จะไม่ไปเดินตามหลังนักการเมือง
เพราะเราเป็นกลางทางการเมือง” เผื่อใครไม่ทราบภาคสี่อยู่ตรงไหน ก็ภาคใต้
โดยเฉพาะพื้นที่คุกรุ่นชายแดนติดมาเลเซีย คือนราธิวาส ปัตตานี และยะลา
นักข่าวถามถึงการเคลื่อนไหวของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ที่สมัยเมื่อ กปปส. ‘ชนะแล้ว’ เพราะกวักมือเรียกทหารเข้ามายึดอำนาจได้สำเร็จ
เคยประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองอีกต่อไป แม้ขณะบวช จนหลังจาก
คสช.กระชับอำนาจแน่นเหนียวดีแล้วจึงสึก
มาบัดนี้ ‘สุเทือก’ เป็นตัวการสำคัญจัดตั้งพรรค
รปช. ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกฯ
อีกครั้งหลังมีเลือกตั้ง แต่ก็ออกตัวว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ในพรรค ไม่ลงสมัคร ส.ส.
โดยให้ มรว.จตุมงคล โสณกุล เป็นหัวหน้าพรรค
แต่สุเทือกก็ปาวารณาว่าจะลงสนามปราศรัยหาเสียงให้แก่พรรคอย่างเต็มที่
โดยจะเริ่มนำขบวนคาราวานลงพื้นที่พบปะประชาชนในเดือนนี้
นักข่าวจึงถามพล.ท.ปิยวัฒน์ว่า อย่างนี้จะผิดต่อ พรป.พรรคการเมืองไหม
“ผมไม่อยากจะไปเตือนอะไรกับใครว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรตามกรอบกฎหมายหรือไม่
เพราะพวกนักการเมืองย่อมรู้หลักกฎหมายดีกว่าผมเสียอีก”
แม่ทัพภาคสี่ตอบแบบคลุมๆ ไม่เอ่ยชื่อใคร ก็ยังไม่วายเน้นเล็กน้อย
“ขอย้ำว่าทุกคนต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมายเดียวกัน
เพราะนโยบายของผมจะใช้การเมืองนำ ทหารตาม การเมืองขยาย
แต่ถ้าใครก็ตามที่กระทำผิดกฎหมาย ผมก็จะจับหมด ถ้าไม่ผิดก็ทำไป”
สำหรับแม่ทัพภาค ๒ อันเป็นเขตอีสานที่มีกลุ่มการเมืองซึ่งสนับสนุนให้ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ
อีกสมัยหนึ่ง กำลังดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคอย่างทางการ ใช้ชื่อ ‘พลังประชารัฐ’
แกนนำชวนกันออกเดินสายพบนักการเมืองท้องถิ่นพรรคเก่าหลายคน จนได้ฉายาว่านัก
‘ดูด’
นั้นถูกนายดร งามธุระ ที่ปรึกษากฎหมายของกลุ่มสามมิตร นำชื่อไปอ้างอิงและพูดแทนว่า
“เป็นเรื่องปกติที่นักการเมืองในพื้นที่ต้องมีการพบปะกันทุกฝ่ายอยู่แล้ว...ไม่ว่าจะไปกี่กลุ่มกี่คนก็ทำได้ทั้งนั้น
เพราะไม่ได้ไปทำผิดกฎหมาย ไปเสริมสร้างให้คนรักกัน ชอบกัน”
นัยว่าเข้าทางสามมิตรพอดี ไม่เช่นนั้นก็เป็นการขอยืมชื่อ พล.ท.ธรากร ธรรมวินทร ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ ๒ (กกล.รส.ทภ.๒) มาใช้อ้างว่าการไปชวนอดีต
ส.ส.พรรคต่างๆ มาเข้าร่วมพลังประชารัฐ
“เป็นเพียงการไปพบปะพี่น้องประชาชน
และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลให้เกิดความปรองดองของคนในชาติ ทำให้คนไทยรักกัน
ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด”
อีกทั้งอ้างว่า “กิจกรรมของกลุ่มสามมิตร
จึงอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายทุกประการ ซึ่งหากนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.หรือ
คสช.มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอย่างใดแล้ว ทางกลุ่มสามมิตรพร้อมไปให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์”
ไม่แจ้งชัดว่าที่ปรึกษากฎหมายของกลุ่มสามมิตรสามารถอ้างคำพูดยัดปากแม่ทัพภาค
๒ ได้เช่นนั้นจริง หรือเพียงเพราะกลุ่มสามมิตรเส้นใหญ่ (สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมศักดิ์
เทพสุทิน และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ชนิดสั่งแม่ทัพภาคได้
แต่แน่ๆ ว่าเมื่อมาถึงการเมืองที่แบ่งพรรคแบ่งพวก
แบ่งขั้วจะแจ้ง กลุ่มเรียกร้องการเลือกตั้ง เรียกร้องประชาธิปไตยจะถูกทหารชุดพรางไปเยี่ยมถึงบ้าน
ส่วนกลุ่มที่ออกตัวแรงสนับสนุน คสช. ทำกิจกรรมการเมืองอย่างไร
จะถูกเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
การเดินสายพบประชาชนเพื่อค้นหาทางออกในการแก้ไขปัญหาประเทศด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน
ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล แห่งพรรคอนาคตใหม่
เจอเข้ากับการฟ้องร้องและเพ่งเล็งของ คสช. ไปแล้วหลายคดี
ในขณะที่การเดินสายทาบทามอดีต ส.ส. ท้องถิ่น โดยกลุ่มสามมิตร
กลาย “เป็นเพียงแต่ไปรับฟังปัญหาของชาวบ้าน” และ “สนับสนุนแนวทางการทำงานของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน” จนกลายเป็นภารกิจใหม่