วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 13, 2559

คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่ไม่ได้โหวตให้ทรั้มพ์พร้อมที่จะยอมรับเขาในตำแหน่งประธานาธิบดี ตราบเท่าที่เขายังประพฤติตนเหมาะสมกับสถานะและบุคคลิกภาพของ Commander-in-Chief ‘ผู้บัญชาการสูงสุด’





ทำไปทำมา การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากประธานาธิบดีคนเก่า สู่ว่าที่ประธานาธิบดีซึ่งจะเข้าพิธีสาบานตัวต่อตำแหน่งตอนกลางเดือนมกราคม ๖๐ นี้ท่าจะไม่รื่นนักแล้ว

เมื่อวานซืน (๑๑ พ.ย.) ทีมจัดการรับมอบอำนาจของว่าที่ประธานาธิบดีทรั้มพ์ นำโดยไม้ค์ เพ้นซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดี เดินทางไปทำเนียบขาวเป็นครั้งที่สอง เพื่อจัดแจงกระบวนการเปลี่ยนผ่านกับทีมงานของประธานาธิบดีโอบาม่า

ขณะที่ประธานาธิบดีโอบาม่ายืนยันว่าจะพยายามให้การส่งมอบอำนาจราบรื่นที่สุด การออกมาเดินขบวนประท้วงของผู้ประกาศว่าทรั้มพ์ “ไม่ใช่ประธานาธิบดีของเรา” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นชนผิวหลากสี (ไม่ขาว) และเด็กผู้หญิง ยังคงเกิดขึ้นตามมหานครใหญ่ โดยเฉพาะในซาน ฟรานซิสโกและลอส แองเจลีส





ตอนสายวานนี้ (๑๒ พ.ย.) มีการประท้วงต่อต้านการได้รับเลือกตั้งของทรั้มพ์อีก ที่ดาวน์ทาวน์ลอส แองเจลีส (#DTLA) ทำให้ทางด่วนสายหลัก Freeway 101 ซึ่งทอดผ่านใจกลางนครถูกปิดทั้งสองด้าน การจราจรบนฟรีเวย์ช่วงนั้นหยุดชะงักเป็นเวลาหลายชั่วโมง

มิใยที่ท่าทีของทรั้มพ์ในวันที่สามหลังเลือกตั้งมีความอลุ่มอล่วยขึ้นมานิด ด้วยการให้ความเห็นว่าอาจจะไม่ยกเลิกระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ‘โอบาม่าแคร์’ ที่ประธานาธิบดีผิวดำริเริ่มก็ได้

ทรั้มพ์ให้สัมภาษณ์กับวอลสตรีทเจอร์นอลเมื่อวันก่อนว่า บทบัญญัติเกี่ยวกับข้อห้ามไม่ให้บริษัทรับประกันสุขภาพปฏิเสธไม่ยอมรับสมาชิกที่มีโรคร้ายประจำตัว ดังทางปฏิบัติที่เป็นอยู่ก่อนกฎหมายประกันสุขภาพของโอบาม่าบังคับใช้ และส่วนที่ยอมให้ผู้เป็นลูกอยู่ในความคุ้มครองสัญญาประกันสุขภาพของบิดามารดาได้จนถึงอายุ ๒๖ ปี นั้น “ผมชอบกฏเหล่านั้นมากๆ”

(http://www.bostonglobe.com/…/xwiLB8v3tjFi90tVRb…/story.html…)

อีกเรื่องหนึ่งที่ทรั้มพ์พูดถึงบ่อยในระหว่างหาเสียงว่าจะตั้งคณะอัยการพิเศษเพื่อสอบสวนและดำเนินคดีกับนางฮิลลารี่ คลินตัน ในความผิดฐานใช้อี-เมลส่วนตัวสั่งงานราชการระหว่างเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ อันทำให้ผู้สนับสนุนทรั้มพ์มักสนองตอบด้วยการไชโยโห่ร้องวลี “จับเธอขังคุก” นั่นเขาก็บอกว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้หนักหนาอะไรนักแล้ว




คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่ไม่ได้โหวตให้ทรั้มพ์พร้อมที่จะยอมรับเขาในตำแหน่งประธานาธิบดีจนกว่าจะครบสมัย ๔ ปี ตราบเท่าที่เขายังประพฤติตนเหมาะสมกับสถานะและบุคคลิกภาพของ Commander-in-Chief ‘ผู้บัญชาการสูงสุด’ หากแต่แนวคิดที่ว่าเขาอาจอยู่ไม่ครบสี่ปีก็ยังผุดขึ้นมาจนได้

แอรอน ซอร์กิ้น นักเขียนและผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจาก ‘The West Wing’ รายการทีวีอันมีพื้นเรื่องเกกี่ยวกับทีมงานผู้ช่วยของประธานาธิบดีในทำเนียบขาว เขียนจดหมายถึงลูกสาวในวันรุ่งขึ้นหลังเลือกตั้ง ที่ถูกนำไปเผยแพร่ในวารสารและนิตยสารออนไลน์หลายแห่ง

“มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เข้าแข่งขันที่พ่อเลือกไม่ได้รับชัยชนะ (จริงๆ แล้วนี่เป็นครั้งที่หก) แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ ‘ไอ้สุกรซึ่งเต็มไปด้วยความคิดอันตราย’...ผู้ไม่มีความเหมาะสมอย่างสุดๆ...ขาดความรอบรู้เกี่ยวกับโลกแล้วยังไม่ใส่ใจจะเรียน ได้”

เขาบอกลูกสาวว่า “ไม่เพียงเฉพาะทรั้มพ์เท่านั้นที่ชนะ แต่พวกผู้สนับสนุนของเขาชนะด้วย กลุ่มคลูคลักแคลน กลุ่มผิวขาวรักชาติ พวกดูหมิ่นเพศ เหยียดผิว จำอวดเหลวไหล...ได้รับการยืนยันให้ฉลองชัย...

ความเกลียดชังถูกยื่นความหวังให้ ความโง่เง่าที่น่าละอายได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘เสียงสดใหม่จากภายนอก’ ผู้จะมาเป็นตัวการรื้อระบบเพื่อ ‘การเปลี่ยนแปลง’...”

ซอร์กิ้นสอนลูกว่า “เราจะสู้ (คำสบถ)...เราไม่ได้ปราศจากอำนาจและเราไม่ใช่ว่าหมดเสียง เราไม่มีเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนและวุฒิสภา แต่เรามีผู้แทนของเราอยู่ในนั้น...เราจะทำให้มั่นใจว่าผู้ที่เรา (เลือก) ส่งเข้าไปกรุงวอชิงตันจะนำพลังของเราไปใช้ และไม่ยอมหยุดพัก...

พ่อรู้ว่าความคาดหมายของพ่อทำให้ลูกเสียใจ แต่ในส่วนตัวแล้วพ่อไม่คิดว่าไอ้หมอนี่จะอยู่ได้ถึงปี โดยไม่โดน impeachment โหวตขับไล่ออกไปจากตำแหน่ง”

(http://deadline.com/…/president-donald-trump-aaron-sorkin-…/)

แท้จริงมีการคาดคะเนเช่นนั้นโดยศาตราจารย์นักทำนายที่บอกมาตลอดว่าทรั้มพ์จะชนะคลินตัน





แอลแลน ลิคท์แมน ผู้เคยทำนายอย่างแม่นยำมาแล้วว่าประธานาธิบดีโอบาม่าจะชนะเป็นสมัยที่สอง เขาทำนายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา (โดยอาศัย ‘กุญแจ’ ต่างๆ ดังอธิบายไว้ในหนังสือของเขาเอง เรื่อง ‘Predicting the Next President: The Keys to the White House 2016’) ว่าคราวนี้ทรั้มพ์จะชนะ

พอถึงปลายเดือนกันยา ลิคท์แมนแถลงคำทำนายเพิ่มเติมใหม่ว่า “ถ้าทรั้มพ์ได้รับเลือกตั้ง เขาจะถูกโหวตไล่ออกโดยรัฐสภาคองเกรส ที่พรรครีพับลิกันนั่นเองครองเสียงข้างมากอยู่ เพราะพวกนี้ต้องการให้ว่าที่รอง ปธน. ไม้ค์ เพ้นซ์ ที่สมาชิกรีพับลิกันเก่าแก่รู้จักดีและไว้วางใจ ขึ้นมาเป็นแทนทรั้มพ์

(https://www.washingtonpost.com/…/prediction-professor-who-…/)

เหตุหนึ่งที่อาจทำให้ทรั้มพ์ถูกอภิปรายขับไล่โดยสภาคองเกรสของพรรครีพับลิกันเอง อยู่ที่คดีความที่เขาถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท ไล่คนออกจากงานโดยไม่สมเหตุผล ก้าวร้าวเหยียดหยามลูกจ้าง และหลอกลวงในการเลื่อนขั้นเงินเดือน ทั้งหลายเหล่านี้ที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยทรั้มพ์ที่ปิดตัวไปแล้ว

สตีเฟ็น กิลเลอร์ส ศาสตราจารย์กฎหมายมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ชี้ว่า “ประธานาธิบดีอาจจะอ้างสิทธิคุ้มครองจากการฟ้องร้องต่อการกระทำในหน้าที่ระหว่างดำรงตำแหน่ง แต่ไม่ใช่การกระทำก่อนรับตำแหน่ง”

เขายกตัวอย่างอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ถูกฟ้องโดยพอล่า โจนส์ ว่าเขาข่มเหงเธอขณะเป็นผู้ว่าการรัฐอาร์เค็นซอส์ แม้ผลที่สุดศาลจะยกฟ้องคดีนั้น แต่สภาคองเกรสก็ดำเนินการอภิปรายขับไล่คลินตัน (หากแต่ผลการโหวตออกมาว่าคลินตันไม่ผิด)

เจสสิก้า เลวินสัน ศาสตราจารย์ทางกฎหมายเลือกตั้ง มหาวิทยาลัยลอโยล่า ในลอส แองเจลีส เสริมด้วยว่า “ไม่มีการให้สิทธิพิเศษปกป้องประธานาธิบดีจากการถูกฟ้องร้องคดีความ ทั้งทางอาญาและแพ่ง ต่อการกระทำผิดที่เกิดขึ้นก่อนเข้าไปเป็นประธานาธิบดี”

(http://www.sfchronicle.com/…/Trump-U-highlights-a-slew-of-l…)

ทรั้มพ์ถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของเขาอยู่ถึง ๗๕ คดี อาทิ กรณีลูกจ้างในสนามกอล์ฟของเขาที่ฟลอริด้าถูกไล่ออกเพราะโวยวายเรื่องถูกข่มเหงทางเพศ หรือการณีที่กล่าวหาว่ากองหาเสียงของทรั้มพ์ส่งข้อความลามกไปให้ผู้มีสิทธิลงคะแนน

บนรากฐานจากคำตัดสินศาลสูงสุดคดีพอล่า โจนส์ ในปี ค.ศ. ๑๙๙๔ คดีละเมิดของทรั้มพ์จะต้องดำเนินต่อไปหลังจากเขาเข้ารับตำแหน่งแล้ว แม้ว่าอาจเป็นได้ที่เขาสามารถอ้างหลักการแบ่งแยกอำนาจ ให้ศาลวางมือจากการทำคดีชั่วคราวตลอดเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่

ส่วนความคืบหน้าในคดีการหลอกลวงและตบทรัพย์นักศึกษาโดยมหาวิทยาลัยทรั้มพ์ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลในนครซาน ดิเอโก แคลิฟอร์เนีย ผู้พิพากษามีคำสั่งยกคำร้องของฝ่ายทรั้มพ์ ที่จะให้ไม่รับหลักฐานจากคำพูดต่างๆ ของทรั้มพ์ในระหว่างการหาเสียง

ผู้พิพากษาคูเรียลวินิจฉัยว่า เนื่องจากฝ่ายทรั้มพ์ไม่เจาะจงว่าหลักฐานคำพูดไหนที่ต้องการให้เอาออก ศาลจะวินิจฉัยตัดสินเป็นกรณีไปในขณะพิจารณาคดีว่าหลักฐานไหนใช้อ้างได้ไม่ได้

ผู้พิพากษายังมีคำสั่งด้วยว่าให้ทรั้มพ์ให้การต่อศาลผ่านทางระบบวิดีโอเทปได้โดยไม่ต้องไปปรากฏตัวที่ศาล ซึ่งกรรมวิธีนี้กล่าวกันว่าจะทำให้คณะลูกขุนเห็นสีหน้าและกิริยาอาการของผู้ให้การอย่างชัดเจน กว่าการไปนั่งให้การในคูหาข้างผู้พิพากษาในศาล

รวมทั้งข้ออ้างของฝ่ายทรั้มพ์ที่จะให้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปจนถึงเดือนมกราคม เพราะช่วงนี้จำเลยกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานรับมอบอำนาจ ผู้พิพากษาไม่ยินยอมให้เลื่อน แต่เน้นให้คู่กรณีประนีประนอมยอมความกันเสีย ไม่เช่นนั้นการพิจารณาคดีจะเริ่มในวันที่ ๒๘ พ.ย.

(http://www.dailykos.com/…/-Judge-Curiel-Denies-Trump-Motion…)

ดูเหมือนว่านายดอแนลด์ ทรั้มพ์ จะเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนแรกที่มีคดีพันพัวในขณะที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่ง แต่กระนั้นการโหวตขับไล่ไม่น่าที่จะเกิดขึ้นได้ภายใน ๖ เดือนแรก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการวางตัวของเขาเอง

หากยังคงเป็น ‘loose cannon’ ปล่อยกระสุนปืนใหญ่ระเกะระกะต่อไป ดังที่ฮิลลารี่โจมตีไว้ในการหาเสียงวันสุดท้ายละก็ เรื่องเหลือเชื่อย่อมเกิดได้เช่นเดียวกับการที่เขาได้รับเลือกตั้งครั้งนี้