วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 04, 2559

เสือโดนดาวน์เกรดเป็นเห็บ :กานดา นาคน้อย

(นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ภาพประกอบจาก ไทยรัฐออนไลน์)
ฉันอ่านรายงานข่าวเกี่ยวกับ “เห็บสยามโมเดล” ที่นำเสนอโดยปลัดกระทรวงการคลังแล้วคิดว่าวาทกรรมนี้ย้อนแย้งอย่างน่าอัศจรรย์ [1] [2] เขาเสนอว่า

เห็บสยามโมเดลจะช่วยทำให้เราเติบโตไปกับประเทศที่กำลังขยายตัวได้ เราไม่จำเป็นต้องโตคนเดียว แต่สามารถพึ่งพาพันธมิตรได้ เช่น ถ้าจีนโต เราก็จะอ้วนด้วย ถ้าจีนเลิกโต เราก็จะไปอยู่กับอินเดีย หรือแอฟริกาใต้ต่อ นี่คือกลยุทธ์การโตของเรา คือถ้าใครโตเราก็จะเกาะไปกับเขาด้วย

แต่ในขณะเดียวกันก็อ้างอิงดัชนีต่างๆ เพื่อชี้นำว่าเศรษฐกิจไทยโดยภายรวมไม่มีปัญหา

ถ้าสาธารณชนเข้าใจ “ความหมาย” ของดัชนีต่างๆที่ปลัดกระทรวงการคลังอ้างอิงก็จะเข้าใจว่าอัศจรรย์อย่างไร

ก)   ปลัดคลังอ้างอิงว่า “ตัวเลขการว่างงานต่ำ”

ที่จริงแล้วสถิติอัตราว่างงานของไทยเป็นสถิติที่ไม่มีประโยชน์ต่อการศึกษาตลาดแรงงาน สมมุติว่าชายคนหนึ่งเป็นพนักงานบริษัทที่โดนไล่ออกจากงานแล้วหันไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา สถิติไทยก็นับว่าชายคนนี้ไม่ตกงาน ประเด็นนี้สำคัญเพราะแรงงานในภาคเกษตรมากถึง 40% ของแรงงานทั้งหมด ฤดูที่ยังไม่เก็บเกียวไม่มีรายได้แล้วไปรับจ้างตัดหญ้า 1 ชั่วโมงหรือไปซื้อผลไม้ที่ตลาดมาจัดใส่ถุงเร่ขายก็นับว่าไม่ตกงาน ปีที่แล้วสำนักงานข่าวบลูมเบิร์กก็เผยแพร่บทความที่เล่าความน่าขำขันของสถิติอัตราการว่างงานของไทย [3]

ข)   ปลัดคลังอ้างอิง “กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์”

กำไรดังกล่าวไม่นับบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ภาครัฐไม่สนใจผลกำไรของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์หรือ? แม้บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์มีขนาดเล็กกว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แต่บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ก็อาจมีศักยภาพในการสร้างสินค้าใหม่ที่สร้างความเติบโตให้เศรษฐกิจได้ ผลกำไรของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ดูได้ไม่ยากจากข้อมูลการเสียภาษี ถ้าภาคเอกชนกำไรดีรัฐบาลก็ควรเก็บรายได้ภาษีได้ตามเป้า แต่มีรายงานข่าวว่ารายได้ภาษีเดือนพฤษภาคมต่ำกว่าเป้าถึง 20% [4]

ค)   ปลัดคลังอ้างอิง “ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์”  

ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในบัญชีแบงค์ชาติ มีระดับสูงเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยและการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้และตลาดหลักทรัพย์ทำให้เงินทุนไหลเข้าในระยะสั้น จึงเกิดความต้องการซื้อเงินบาท มีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เงินทุนเหล่านี้ไม่ช่วยสร้างงานโดยตรงนอกภาคการเงิน   ส่วนต่างดอกเบี้ยปรับลดลงเมื่อไรทุนระยะสั้นก็จะไหลออก ทุนต่างชาติที่สำคัญต่อการผลิตและสร้างงานนอกภาคการเงินเรียกว่า “การลงทุนตรง” (Direct investment) ซึ่งปลัดคลังไม่อ้างอิง

ที่จริงแล้ว การลงทุนตรงจากต่างชาติในครึ่งปีนี้ตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และการลงทุนตรงโดยทุนไทยในต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น [5] กล่าวได้ว่า “ทุนตรงไทยไหลออก และทุนตรงจากนอกทรุดตัว”

ทุนญี่ปุ่นที่มาลงทุนตรงในไทยจ้างคนญี่ปุ่นให้มาทำงานที่ไทยทั้งในระดับบริหารและวิชาชีพ แล้วทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศจ้างงานคนไทยกลุ่มไหน? ถ้าลงทุนในภาคที่เน้นใช้แรงงานท้องถิ่นราคาถูกก็ไม่จำเป็นต้องจ้างแรงงานมีทักษะจากไทยมาก ถ้าลงทุนในภาคเทคโนโลยีจะจ้างวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์คนไทยไหม?  

ง)    ปลัดคลังอ้างอิง “ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล”

ดุลบัญชีเดินสะพัดวัดความแตกต่างระหว่างเงินออมและการลงทุนในประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพราะเงินออมสูงขึ้นและการลงทุนหดตัวซึ่งสอดคล้องกับการหดตัวของภาคส่งออก ถ้าเศรษฐกิจขยายตัวการส่งออกจะไม่หดตัว ถ้าดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลควบคู่ไปกับการขยายตัวของภาคส่งออกถึงสมควรยินดีปรีดา แต่สัปดาห์นี้มีรายงานข่าวว่า การส่งออกของไทยหดตัวติดต่อกันมา 6 ไตรมาสแล้ว [6]

ที่จริงแล้วงานวิจัยพบว่าเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดุลบัญชีเงินสะพัดจะลดลงและอาจติดลบ เพราะการนำเข้าขยายตัวพร้อมๆ กับการส่งออก มีทั้งการนำเข้าสินค้าทุน (เช่น เครื่องจักร) และวัตถุดิบเพื่อลงทุน และการนำเข้าสินค้าและบริการเพื่อบริโภค ยิ่งขยายตัวนานๆ ดุลบัญชีเดินสะพัดยิ่งลดลง   ถ้าลดลงจนดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบนิดหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่ถ้าติดลบเกิน 5% ของผลผลิตประชาชาติติดต่อกันหลายไตรมาส ก็อาจเป็นสัญญาณว่าการลงทุนมากเพราะสถาบันการเงินปล่อยกู้ง่ายเกินไป และอาจทำให้มีวิกฤตการเงินในอนาคต

จ)    ปลัดคลังอ้างอิง “สถาบันจัดอันดับระดับโลกคือ ฟิชท์ เรตติ้ง และสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส”

สถาบันเหล่านี้จัดอันดับการลงทุนในตราสารหนี้ เป็นอันดับความน่าเชื่อถือของ “ผู้กู้เงิน” กล่าวคือ สถาบันการเงินต่างๆ ที่กู้เงิน บริษัทต่างๆ ที่กู้เงิน และรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่กู้เงิน [7] [8] ไม่ใช่การจัดอันดับความน่าลงทุนแบบ “ลงทุนตรง”

อย่าสับสนระหว่างความน่าลงทุนด้วยการปล่อยกู้ด้วยการซื้อตราสารหนี้ไทย และความน่าลงทุนด้วยการร่วมทุนผลิตสินค้าและบริการในประเทศไทย ความน่าลงทุน 2 แบบนี้แตกต่างกัน แบบหลังมีความเสี่ยงสูงกว่าแบบแรกมาก

อันดับเรตติ้งพันธบัตรรัฐบาลไทยอยู่ในขั้นดีเพราะรัฐบาลยังมีความสามารถในการใช้หนี้สูง เนื่องจากหนี้สาธารณะยังไม่สูงมากและกระทรวงการคลังมีทรัพย์สินที่นำมาขายใช้หนี้ได้ ถ้าเก็บภาษีไม่พอใช้หนี้ เช่น หุ้นการบินไทย หุ้นธนาคารทหารไทย หุ้นปตท. ฯลฯ

ส่วนอันดับเรตติ้งสถาบันการเงินไทยและบริษัทไทยหลายแห่งอยู่ในขั้นดีด้วยเหตุผลคล้ายกัน คือมีความสามารถในการใช้หนี้สูง เนื่องจากมีทรัพย์สินมาก (เช่น ปริมาณเงินฝากในสถาบันการเงิน   กรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ)

ไทยน่าลงทุนระยะยาวเพื่อ “การผลิต” แค่ไหน ก็วัดกันได้จากตัวเลขการ “ลงทุนตรง” อย่างที่เสนอไปแล้วข้างต้น เพราะการลงทุนตรงไม่ใช่การลงทุนระยะสั้นที่ถอนทุนกันรวดเร็วแบบการลงทุนในตลาดตราสารหนี้หรือตลาดหลักทรัพย์

ภาวะ “ทุนตรงไทยไหลออก และทุนตรงจากนอกทรุดตัว” ก็บ่งบอกแล้วว่าภาคการผลิตในไทยไม่น่าลงทุนในสายตาบริษัทข้ามชาติทั้งไทยและเทศ ก็ย่อมมีผลเชิงลบต่อตลาดแรงงาน 

ปลัดคลังสรุปว่า “เศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมไม่มีปัญหา” พร้อมกับเสนอ “เห็บสยามโมเดล”

เห็บเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยสิ่งมีชิวิตอื่นเพื่อการอยู่รอด เช่น สุนัข ดังนั้นวาทกรรม “เห็บสยามสะท้อนถึงข้อจำกัดด้านศักยภาพการผลิตเพื่อเติบโต

ที่จริงความหมายนี้ก็สอดคล้องกับบทความนี้ที่ต้องการชี้ให้เห็นปัญหาของเศรษฐกิจไทย  

เมื่อ 25 ปีที่แล้วคนไทยภาคภูมิใจว่าไทยเป็น “เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย” แต่ตอนนี้โดนปลัดคลังดาวน์เกรดฮวบฮาบเป็นเห็บเกาะเพื่อนกินซะแล้ว !!!


เชิงอรรถ :

[1] คลังชู"เห็บสยามโมเดล" จับมือพันธมิตร ตปท.หนุน ศก. เผยข้อมูลคนไทยยังมีเงินฝากสูง-บริษัทเอกชนกำไรดี http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1470134631

[2] ปลัดคลังผุดโมเดลเศรษฐกิจ เห็บสยามโมเดล’ เกาะไปกับประเทศที่เติบโต

http://www.matichon.co.th/news/234139

[3] Thailand's Unemployment Rate is a Ridiculously Low 0.6%. Here's Why
[4] สรรพากรกระอักรายได้ทรุด เดือนพ.ค.ต่ำกว่าเป้า 20.8%
[5] Foreign Direct Investment Collapses.

[6] ธปท.เผยส่งออกครึ่งปี’59 ติดลบ 2.2% คาดทั้งปีติดลบ 2.5%

[7] คำจำกัดความอันดับเครดิต โดย ฟิชท์ เรตติ้ง

https://www.fitchratings.co.th/th/regulatory/ratings-definitions.html



หมายเหตุ :

อจ. กานดา นาคน้อย แห่งมหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัต กรุณาแนะนำบทความชิ้นนี้ที่เธอตีพิมพ์แบบอีเล็คโทรนิคครั้งแรกบนเพจมายด์ https://www.minds.com/kandainthai เมื่อ 3 สิงหาคม 2559 และยังแจ้งด้วยว่าสัปดาห์หน้าจะมีบทความพิเศษมาให้ไทยอีนิวส์เผยแพร่อีก เราขอขอบคุณอย่างยิ่งไว้ ณ ที่นี้