ครูกายแก้ว ตั้งอยู่หน้าโรงแรมเดอะบาซาร์ บริเวณแยกรัชดา-ลาดพร้าว
“คนสร้างเก่งนะ เข้าใจเรื่องการทำการตลาดคุณไสย และเข้าใจจริตแบบไทย... มันไม่เคยมีมาก่อนที่ครูไสยเวทย์ ฝึกวิชาไปมาแล้วเขี้ยวงอก เริ่มเป็นคล้ายเวตาล หรือแวมไพร์ เล็บยาวออกมา ปีกออกมา แล้วใส่สตอรีแบบไทย-เขมรเข้าไป” ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการด้านศาสนวิทยา บอกกับบีบีซีไทย
ธุรกิจหรืองมงาย ? มองกระแสบูชา “ครูกายแก้ว” ในมุมศาสนวิทยาและพระพุทธศาสนา
ธุรกิจหรืองมงาย ? มองกระแสบูชา “ครูกายแก้ว” ในมุมศาสนวิทยาและพระพุทธศาสนา
ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผล
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
17 สิงหาคม 2023
ปรับปรุงแล้ว 18 สิงหาคม 2023
รูปปั้นสำริด นัยน์ตาแดงกล่ำ ปากมีเขี้ยวงอก และปีกใหญ่สองข้างที่อาจตีความได้ทั้งเป็นปีกทูตสวรรค์หรือซาตาน นี่คือรูปปั้น “ครูกายแก้ว” ที่เหล่าผู้ศรัทธาแห่แหนเข้าบูชาในฐานะ “บรมครูผู้เรืองเวทย์” หรือบ้างก็มองเป็น “เทพอสูร” ด้วยความเชื่อว่า จะนำมาซึ่งสิริมงคลและโชคลาภ
แต่ภาพการกราบไหว้บูชาด้วยความเลื่อมใสของคนจำนวนมาก ต่อหน้าประติมากรรมดำคล้ำรูปลักษณ์น่ากลัว และมีส่วนผสมที่ละม้ายคล้ายปีศาจในชาติตะวันตก กลับทำให้สังคมออนไลน์ในไทยตั้งคำถามว่า นี่คือปรากฏการณ์ “ลัทธิบูชาผี” หรือ “ลัทธิบูชาปีศาจ” หรือไม่
กระแสต่อต้านยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อผู้ศรัทธาใน “ครูกายแก้ว” โพสต์บนสังคมออนไลน์ถึงการ “บูชายัญ” ด้วยสุนัข แมว และกระต่าย พร้อมประกาศรับซื้อสัตว์เหล่านี้ เพื่อนำไปฆ่าบูชา
“คนที่เข้าหาสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ได้แสวงหาศาสนาอยู่แล้ว” ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการด้านศาสนวิทยา บอกกับบีบีซีไทย “คนที่แสวงหาไสยศาสตร์ เขาต้องการการช่วยเหลือจากอำนาจเหนือธรรมชาติ ต่อสถานการณ์เร่งด่วนในปัจจุบัน”
ด้าน จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา มองปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นว่า “สะท้อนถึงยุคล้าหลัง มันทำให้ประเทศถอยหลังไปสู่บ้านป่าเมืองเถื่อน”
บีบีซีไทยชวนทำความเข้าใจปรากฏการณ์ “ครูกายแก้ว” ผ่านนักศาสนวิทยา และนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือลัทธิบูชาสิ่งใด สะท้อนสังคมไทยในแง่ไหน หรือนี่เป็นเพียงการตลาดแห่งศรัทธาอย่างมีชั้นเชิง
เทพอสูร การ์กอยล์ เวตาล เจ้าแห่งอาคม ฯลฯ
“อาจารย์ต้น” ผู้ทำรูปปั้นขนาดยักษ์ อธิบายที่มาในรายการ โหนกระแส ว่า “ครูกายแก้ว” เป็นหนึ่งในอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของเขมร (กัมพูชา) เป็นบรมครูผู้เรืองเวทย์ ที่ทำบุญด้วยโมหะจนกลายเป็นเทพหน้าอสูร หรือที่เรียกว่า “อสูรเทพ”
ส่วนรูปลักษณ์ของครูกายแก้ว มีที่มาจากนิมิตของ อาจารย์สุชาติ รัตนสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งศาลเทพ รวมถึง พระพิฆเนศ (ห้วยขวาง) และพระตรีมูรติ (เซ็นทรัลเวิลด์) ที่ให้ศิลปินออกแบบให้น่าเกรงขามมากขึ้น ต่อยอดจากรูปปั้นครูกายแก้วขนาดเล็กที่ได้มาจาก จ.ลำปาง ตามคำกล่าวอ้างของลูกศิษย์ อ.สุชาติ
รูปลักษณ์ครูกายแก้ว ปั้นขึ้นมาจากนิมิตของอาจารย์สุชาติ
คำกล่าวอ้างปากเปล่าว่า ครูกายแก้ว เป็นอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จุดประเด็นถกเถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์ รวมถึง ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก ม.ศิลปากร และผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกเขมรโบราณ ที่ชี้ว่าไม่มีจารึกใดบ่งชี้ว่า ครูกายแก้วเป็นบรมครู
“อาจเป็นลูกเล่นของผู้ที่เลื่อมใสในการนำขอมโบราณมาสร้างเป็นเรื่องราวเพื่อให้ผู้คนสนใจ” ผศ.ดร.กังวล ให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐออนไลน์
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ ดร.ศิลป์ชัย นักศาสนวิทยา ซึ่งปัจจุบันพำนักอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ ที่มองว่านี่เป็นการ “สร้างเรื่องราว” ให้บุคคลที่ผู้ศรัทธาเชื่อว่าเป็น “ครูไสยเวท” พร้อมกับสร้างรูปบูชาที่มีรูปลักษณ์กระทบความรู้สึกของสังคม ดังจะเห็นได้ว่า ครูกายแก้ว มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกับการรวมของ
- “แวมไพร์” ในคติแนวคิดของฝรั่ง
- ใส่ปีกแบบ “การ์กอยล์”
- ภาพลักษณ์คล้าย “ซาตาน”
- สตอรี (เรื่องราว) แบบไทย-เขมร
“คนที่เข้าหาสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ได้แสวงหาศาสนาอยู่แล้ว” ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์
“มันไม่เคยมีมาก่อนที่ครูไสยเวทย์ ฝึกวิชาไปมาแล้วเขี้ยวงอก เริ่มเป็นคล้ายเวตาล หรือแวมไพร์ เล็บยาวออกมา ปีกออกมา” ซึ่ง ดร.ศิลป์ชัย ยอมรับว่า “คนสร้างเก่งการตลาด เข้าใจเรื่องการทำการตลาดคุณไสย และเข้าใจจริตแบบไทย รู้ว่าทำแบบนี้สื่อจะเล่นข่าว”
*การ์กอยล์ หรือ ปนาลี คือรูปปั้นสัตว์ประหลาดหน้าตาดุร้าย ที่ประดับอยู่ตามมหาวิหารในชาติตะวันตก โด่งดังจาก การ์กอยล์แห่งมหาวิหารนอเทรอดาม
**เวตาล คือ อมนุษย์นักเล่านิทาน ในหนังสือ “นิทานเวตาล” ที่กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ แปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษ โดยอธิบายรูปร่างของเวตาลว่า คล้ายค้างคาว ตัวผอมเห็นโครงกระดูก
เหรียญอีกด้าน จากผู้ศรัทธา “ครูกายแก้ว” มายาวนาน
ณ เทวาลัยพระพิฆเนศบางใหญ่ จ.นนทุบรี มีศาลาขนาดเล็กที่ตั้งบูชารูปปั้นสีดำสนิทของ “ครูกายแก้ว” ขนาดสูงไม่มากนัก ใบหน้ารูปปั้นดูน่ากลัว ปากมีเขี้ยว นัยน์ตาแดงกล่ำ แต่ไร้ซึ่งปีกด้านหลัง เหมือนรูปปั้นขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่บริเวณแยกรัชดา-ลาดพร้าว
ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ด้านลบว่า การกราบไหว้บูชา “ครูกายแก้ว” เหมือนเป็นการบูชาผี และลัทธิคล้ายบูชาซาตาน แต่สำหรับผู้เลื่อมใสศรัทธาในครูกายแก้วมาหลายปี สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ศรัทธาลดลง
“ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ากลัว แต่ข้างในนั้น พ่อใหญ่ไม่ใช่แบบนั้น” บีม ภูษณิศา ผู้ประกอบอาชีพส่วนตัว และบูชาครูกายแก้ว ที่เธอเรียกว่า “พ่อใหญ่“ บอกกับทีมข่าวบีบีซีไทย พร้อมแสดงสร้อยคอทองคำ และ “ครูกายแก้ว” เลี่ยมทอง ซึ่งเธอห้อยไว้ที่คอไม่เคยห่าง ตามคำบนบานที่เคยขอไว้
เหตุผลที่ทำให้เธอเลื่อมใสครูกายแก้ว ไม่ใช่การให้เลขให้หวย หรือโชคลาภมหาศาล แต่เพราะครูกายแก้วเป็นที่พึ่งในยามลำบาก ทำให้แคล้วคลาดโรคภัย ซึ่งเธอยืนกรานว่า การกราบไหว้บูชาครูกายแก้ว ไม่เคยทำให้ชีวิตของเธอลดทอนลง มีแต่ดีขึ้น หรือไม่ก็เสมอตัว
ส่วนข่าวที่มีคนที่อ้างตัวเป็นผู้ศรัทธา ต้องการบูชายัญครูกายแก้วด้วยสุนัขและแมวนั้น ภูษณิศา มองว่า “เฮ้ย เขาไม่ได้รู้จักพ่อใหญ่ดีพอ... ถ้าคิดแบบนี้ แปลว่าคุณกำลังเลี้ยงผีปอบ มารทั้งหลาย คุณเอาสิ่งไม่ดีทุกอย่างมาใส่พ่อใหญ่” ก่อนอธิบายว่า การสักการะครูกายแก้วจริงนั้น ๆ ไม่มีของคาว ไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่ถั่วและผักผลไม้เท่านั้น สิ่งที่อาจดูต่างออกไป คือการใช้เทียนและธูปสีดำเท่านั้น
“ธุรกิจเพียว ๆ”
สำหรับ จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา มองว่า ครูกายแก้ว คือ “ลัทธิใหม่” ที่ผู้คนหันมาสักการะบูชาเพิ่มมากขึ้น แต่แทบไม่มีความเชื่อมโยงกับพุทธศาสนาเลย ยกเว้น คาถา-คำอธิษฐาน ที่ “ไปลอกคาถาศาสนาพุทธ เพราะไม่ยอมไปจ้างนักบาลีศึกษามาเขียนคาถาให้ใหม่”
แต่หากให้อธิบายถึง “ลัทธิครูกายแก้ว” เขาวิเคราะห์ว่า เป็น “ธุรกิจเพียว ๆ” ที่ใช้กระแสจากการได้พื้นที่สื่อ สืบเนื่องจากกรณี รูปปั้นครูกายแก้ว “ติดสะพานลอยรัชดา” เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2566 จนทำให้การจราจรติดขัดเป็นทางยาว มาถึงภาพพิธีบวงสรวงที่มีผู้มาร่วมเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 13 ส.ค.
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์ด้านราคาของ เหรียญ-รูปบูชา ที่พุ่งสูงขึ้นหลายเท่า และการได้ออกพื้นที่สื่อ จะเป็นสิ่งที่ผู้สร้าง-ผู้ศรัทธา เจตนาหรือไม่ นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนามองว่า สิ่งที่ควรจับตาคือลัทธิใหม่นี้จะอยู่ในกระแสได้นานแค่ไหน
“จะอยู่ได้แบบพระพรหมเอราวัณไหม” จตุรงค์ ถามแบบปลายเปิด พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงฐานตั้งของครูกายแก้ว ที่ดูแล้วเป็นฐานของสิ่งอื่นมาก่อน นั่นหมายความว่า “ไม่ปัง ไม่มู ก็ยกออก”
" มันทำให้ประเทศถอยหลังไปสู่บ้านป่าเมืองเถื่อน” จตุรงค์ จงอาษา
ปัจจัยด้านความยั่งยืนด้าน “ความมู” ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคมไทย ตามทัศนะของ จตุรงค์ มี 2 ปัจจัยหลัก คือ
- เวลา คือ จะอยู่ได้นานไหม ยกตัวอย่าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่สังคมไทยอย่าง พระพรหมเอราวัณ พระพิฆเนศ พระตรีมูรติ และ ไอ้ไข่ เป็นต้น
- ราคา คือ ราคาของเครื่องบูชา ยกตัวอย่าง จตุคามรามเทพรุ่นหลังที่ “สร้างเกร่อ ถูกทิ้งขว้าง” ขณะที่ จตุคามฯ รุ่น “ขุนพันธ์” ยังมีราคาหลักแสนหลักล้านบาทอยู่
งมงาย หรือ เสรีภาพทางศาสนา ?
ยิ่งภาพการบูชาครูกายแก้วกลายเป็นกระแส ถึงขั้นมีผู้ศรัทธาพูดถึงการ “บูชายัญหมา-แมว” และราคาเครื่องบูชาที่พุ่งไปถึงหลักแสน จนเกิดเสียงวิจารณ์ด้านลบอย่างหนัก บีบีซีไทยสอบถาม ดร.ศิลป์ชัย ว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปกติหรือไม่
“นี่เป็นเรื่องปกติ มันไม่ใช่กรณีสุดท้าย ไม่ใช่กรณีแรก เพราะจะมีแบบนี้เรื่อย ๆ” เขาตอบ ซึ่งในมุมมองของนักวิชาการที่มักตั้งคำถามถึง “พุทธที่แท้จริง” อยู่เสมอ เขากลับไม่ได้ต่อต้านหรือเห็นพ้องกับการสร้างรูปบูชา เช่น “ครูกายแก้ว” เพราะถือเป็น “เสรีภาพทางศาสนา” ของแต่ละบุคคล
แต่ “ความงมงายทุกชนิดน่าห่วงทั้งนั้น... ทำให้คนในสังคมเป็นคนไร้เหตุผล ส่งผลต่อการคิดตัดสินใจ รวมถึงประเทศชาติและการเมือง”
ผู้ศรัทธาหลายคนยืนกรานว่า การบูชาครูกายแก้ว ไม่มีการบูชายัญหมา-แมว เพราะต้องบูชาด้วยผลไม้เท่านั้น
เขาอธิบายต่อว่า เหตุที่สังคมไทยรับเอาวัฒนธรรมการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไล่มาตั้งแต่ จตุคามรามเทพ (เทพในศาสนาพราหมณ์) ลูกเทพ (ตุ๊กตาไสยศาสตร์) และไอ้ไข่ (วิญญาณเด็กวัดศักดิ์สิทธิ์) เป็นเพราะสังคมไทยเป็น “พุทธแบบพหุเทวนิยม” นั่นคือ “สังคมที่รับเทพเจ้าได้เรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด”
แต่เงื่อนไขของเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สังคมจะตอบรับได้ง่ายกว่า คือต้องมีลักษณะ “อยู่ร่วมเคียงข้างกันได้” และ “ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง” ยกตัวอย่าง การบูชาพระพุทธเจ้า กับพระอัลเลาะห์หรือพระเจ้าของศาสนาคริสต์ พร้อมกัน ถือว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากศาสนาอิสลามและคริสต์ นับถือพระเจ้าองค์เดียว และมีลักษณะ “ไม่ยอมรับการนับถือศาสนาหรือเทพอื่นอย่างข้างเคียง หรือเท่าเทียม”
อีกประการ คือ รูปลักษณ์ เพราะคำสอนของเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่คนไทยนับถือบูชา ยังอยู่บนพื้นฐานของธรรมะและความดีเป็นตัวกำกับ แต่พอเป็น “ภาพตัวแทนของฝ่ายอธรรม ก็จะถูกปฏิเสธ รับไปแล้วจะอึดอัด”
ในกรณีของครูกายแก้วนั้น ดร.ศิลป์ชัย มองว่า มีรูปลักษณ์ในเชิง “อธรรม” มากเกินไป “ด้วยภาพลักษณ์แบบแวมไพร์ คล้ายลัทธิซาตาน... จนสามัญสำนึกของพุทธแบบไทย ทำใจยอมรับสิ่งเหนือธรรมชาติที่ออกมาในภาพเจ้าแห่งความชั่วได้ยาก”
ท้ายสุด นักศาสนวิทยาไทยในนิวซีแลนด์ มองว่า สังคมควรเคารพใน “เสรีภาพในการนับถือศาสนาของทุกคน แต่ก็ขอให้ใช้สติปัญญา ความรู้ และมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ที่จะไม่ต้องเชื่อในทุกอย่าง”
“มูเตลูเป็นธุรกิจ” จตุรงค์ ฝากอีกข้อคิด “จะมูขนาดไหนก็มีสติ อย่าละเมิดกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ๆ รวมถึงตัวเอง”