วันเสาร์, สิงหาคม 05, 2566

ทนาย กุณฑิกา นุตจรัส โพสต์ เศร้า ดูคลิปเสรีพิศุทธ์หลายครั้ง ทำไมคนถึงโวยวายเรื่องนี้น้อยไป ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก


Sai Kunthika Nutcharus
17h 
·
ดิฉันนั่งดูคลิปเสรีพิศุทธ์หลายครั้งด้วยความเศร้าใจ
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแค่ชายแก่คนเดียว แต่ผูกพันถึงอะไรหลายๆอย่าง รวมถึงประสบการณ์และความรับรู้ที่ตัวเราเองได้เห็นมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ในประเทศไทยด้วย
ตั้งแต่วันที่หยกถูกจับ ดิฉันมีความเห็นว่าเด็กคนนี้ถูกสังคมว่าและด่ามากกว่าที่สังคมจะหันมาตกใจว่า เห้ยแม่ง มันมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในแผ่นดินไทยด้วยโว้ย
เกิดการ Tone Policing เด็กต่างๆนาๆ คำพูดที่น่ารังเกียจที่สุดที่ผู้ใหญ่เคยพูดใส่หน้าเด็กคือคำว่า อยากช่วยแต่ท่าทีของน้องแรงไป หรืออยากช่วยแต่ทำอะไรไม่ได้ หรือจะช่วยหากเลิกทำในสิ่งที่ทำอยู่
ทำไมการต่อสู้ ต้องเรียบร้อยคุกเข่ากราบกรานคะ? หรือเสรีภาพใดๆที่ได้มาบนโลกนี้ มันมาจากการร้องขอเขียนจดหมายหาผู้ซึ่งปกครองอย่างดีด้วยความสุภาพ?
คนอย่างนายเสรีพิศุทธ์รู้ไหมว่า ก่อนคำพูดว่า...ถ้าเป็นลูกผมไม่ได้หรอก ผมฆ่าทิ้งเลย เคยมีคนพูดว่าฆ่าเวลาบาปกว่าฆ่าคน เคยมีพระพูดว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป
จริงอยู่เราไม่มีความจำเป็นต้องให้คุณค่า แต่ดิฉันอยากชวนทุกท่านคิดสักหน่อยว่า นอกจากคนมีชื่อเสียงท่านนี้แล้ว มีบุคคลมากมายผรุสวาทเด็กด้วยถ้อยทีทุเรศทุรังมาตลอด
และสิ่งที่เราเห็นคือคนในสังคมไทยเมินเฉย
เขายืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถูกผู้ใหญ่ไทยดีๆนี่เองปาขี้ใส่อยู่เรื่อยๆ tone policing เรื่องคำพูดคำจาท่าทาง ไม่มีใครสนใจเลยว่า ระบบการศึกษาที่ปล่อยให้โรงเรียนทำแบบนี้กับเด็กได้มันคือสิ่งชั่วร้าย ไม่มีใครสนใจเลยว่า ผู้ใหญ่หรือนักการเมืองหรือคนมีชื่อเสียงดาราออกมาว่าเด็กอย่างแรงๆเป็นเรื่องเหมาะสมกับวุฒิภาวะอะไรใดๆหรือไม่
มาจนถึงวันนี้ คนใหญ่โตขนาดกำลังสร้างรัฐบาลออกมาพูดคำแบบนี้แล้วและยังอยู่ได้ในสังคม ดิฉันนึกถึงช่วงเวลาที่เคยมีนักการเมืองเยอรมันกล่าวหาว่าเด็กๆที่ออกมาต่อต้าน upload filter พวกนี้มันเป็นบอท(ไอโอ ไม่ใช่คนจริง) สังคมเยอรมันโมโหโกรธากับเรื่องนี้มาก ไม่ใช่แค่เด็กๆที่โดนหาว่าเป็นบอท แต่ผู้ใหญ่ในประเทศด้วย ทั้งๆที่ผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยหรอก ถ้าเด็กๆจะไม่ไปเรียน เพราะจะไปทำกิจกรรม
แต่มันเป็นเพราะเขามองว่าไม่ควรคิดด้อยค่าเยาวชน มองว่าเป็นเสียงที่ไม่มีคุณค่า สติปัญญาอ่อนคิดเองไม่ได้
แค่พูดแค่นั้นคนก็โกรธมากแล้ว
มาตอนนี้ในประเทศไทย นอกจากจะไม่มีผลใดๆแล้ว ยังไม่มีใครออกมาพูดอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานทำการหากินกับเรื่องนี้หรือมีหน้ามีตากับเรื่องทางนี้ ถ้าจะพูดอย่างที่อาจารย์คนหนึ่งเคยพูด ก็คือมันเงียบจนแสบแก้วหูจริงๆ
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเยาวชนรุ่นนี้เค้าเลยไม่ค่อยคาดหวังอะไรกับคนรุ่นพวกเรา
และไม่สงสัยด้วยว่า ทำไมเสียงคนไปเลือกตั้งมันถึงไม่ได้มีค่า มีความหมาย ความศักดิ์สิทธิ์ใดๆ