ตกลงเป็นอันว่าโชคชะตาคนไทยเกี่ยวกับวัคซีนแก้โควิดนี่ ขึ้นอยู่กับสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งชาติ คือ ‘เจ้า’ กับ ‘สัว’ หรือ ‘สยามไบโอไซน์’ กับ ‘ซีพีฟาร์ม’ หลังจากที่ข้อเท็จจริงปรากฏ ไทยซื้อวัคซีนจีนสองล้านโดสเซส จะเริ่มส่งล็อตแรก ๒ แสน ตอนปลายเดือนกุมภา
ผู้ผลิตวัคซีนจีนรายนี้ชื่อ ‘สิโนแว็ค’ (เขียนไทยตามตัวอักษร –transliteration) ซึ่งมีบริษัท ‘สิโนไบโอฟาร์ม’ อันเป็นส่วนหนึ่งของ CP Pharmaceutical Group ถือหุ้นอยู่ ๑๕% มูลค่า ๑๕,๔๐๐ ล้านบาท ตามรายงานโพสต์ทูเดย์ว่า ซีพีฟาร์มฯ นี้ใหญ่โตมาก
“นี่คือ ‘สาแหรก’ เครือญาติของซีพีที่แผ่ขยายไม่เฉพาะแค่ในไทยและจีนแต่กำลังจะขยายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลที่จะมากขึ้นหลังเข้าไปซื้อหุ้น Sinovac” โพสต์ทูเดย์แจงละเอียดว่าผู้ก่อตั้งซีพีฟาร์มฯ “มีศักดิ์เป็นพี่ชายของนายธนินท์” เจียรวนนท์
ต่างคนต่างสร้างอาณาจักรธุรกิจของตน บิดาเสี่ยธนินทร์ (ชื่อเซียกั๋วหมิน) ข้ามน้ำมาสร้างอาณาจักรธุรกิจการเกษตรในไทย ส่วนบิดาของเซียปิ่ง (ชื่อเซียเจิ้งหมิน) ปักหลักสร้างอาณาจักรยา (Pharmaceutical) ในจีนและฮ่องกง เซียกั๋วกับเซียเจิ้งเป็นพี่น้องกัน
ลูกสาวของเซียปิ่งซึ่งเป็นรองประธาน ‘ซีพีฟาร์ม’ และเป็นประธาน ‘สิโนไบโอฟาร์ม’ คุยว่าสมรรถนะในการผลิตวัคซีนรักษาโควิดของจีน “คาดว่าจะมีอย่างน้อย ๒,๐๐๐ ล้านโดส (เซส) ภายในสิ้นปี (ค.ศ.) ๒๐๒๑” น่าจะรวมถึงบรัทจีนอื่นด้วย
หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าวัคซีนจีนผ่านการรับรองแล้วด้วยผลการทดสอบประสิทธิภาพที่ ๘๖% เจ้าของลิขสิทธิ์คือ ‘Sino Pharmaceutical’ คู่แข่งของ ‘สิโนแว็ค’ ที่โพสต์ทูเดย์บอก “มีประสิทธิภาพ ๙๑%” จากการทดลองฉีดในตุรกี
อย่างไรก็ดี ลงเอยวัคซีนจีนที่มาไทยเป็นเครือข่าย (และเครือญาติ) กับเจ้าสัวซีพีไทย คงต้องบอกว่าโชคดี ไม่งั้นถ้าจะหวังวัคซีนเชื้อสายบริทิชจากแอสตร้าเซเนก้า ที่บริษัทสยามไบโอไซน์ของพระมหากษัตริย์ไทยรับผิดชอบในการแจกจ่ายต้องรอปลายปี
และจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร กับการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดียวกับที่เริ่มในอังกฤษระลอกใหม่นี้ ไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดการ ‘ควบคุม’ มากไปกว่าประชากรไทยมีความระแวงระไว และจัดการ ‘ป้องกัน’ ตนเองได้ดีเหมือนคราวที่แล้วแค่ไหน
กับการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสรอบนี้ จัดว่ารัฐบาลประยุทธ์ ‘failed miserably’ เหลวแหลกไม่เป็นท่า การระบาดเกิดจากการ ‘กระทำผิด’ ของเจ้าหน้าที่รัฐทหาร-ตำรวจทั้งสิ้น การคอรัปชั่นเฟื่องฟู มีการรับค่าหัวคิว รับส่วยกันเอิกเกริก
ขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานข้ามแดนเป็นจุดระเบิดการระบาดของโควิดรอบนี้ บ่อนการพนันทั้งในและนอกกฎหมายทำให้โควิดแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ผ่านมาไม่ถึงอาทิตย์มีผู้ติดเชื้อแล้วเป็นหมื่น และยังจะนับต่อไปได้เรื่อยๆ
และเรียกได้ว่าทุเรศเหลือล้ำก็ตรงที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับโดยดุษฎีว่า “สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากบ่อนการพนันในภาคตะวันออก จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ชลบุรี จ.ตราด ภาคกลาง จ.สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร”
แต่ยังไม่สามารถทำอะไรได้ “ก็พบว่ามีการฝ่าฝืนอยู่ และอาจมีเจ้าหน้าที่บางคนมีส่วนร่วม...มักมีการกล่าวอ้างบุคคลตัวละครเจ้าของบ่อน และมีการอ้างชื่อบุคคลสำคัญ นักการเมืองให้การสนับสนุน ซึ่งในกรณีนี้ตำรวจทราบดี” รู้นะไม่ใช่ไม่รู้
“ส่งทีมงานลงไปตรวจสอบ” ก็แล้ว เสียแต่ว่ายังหาพยานหลักฐานมาใช้พิสูจน์ในชั้นศาลให้เพียงพอไม่ได้ ตอนนี้ทำได้แค่ “ขอฝากไปยังผู้ที่ทำบ่อนอยู่ให้ระวังตัวไว้ หากพลาดเมื่อไหร่จะถูกดำเนินคดีทันที” ก็ทั่นดันฝากไปซะอย่างนี้
โจรหน้าไหนมันจะมาทำพลาดให้เห็น แล้วที่พี้คสุดๆ ก็ตรงที่เพจข่าวซึ่งรายงานว่า “ผบ.ตร.ชี้ หลักฐานไม่แน่น เอาผิดบ่อนพนันไม่ได้” น่ะ บ่อนออนไลน์ถือโอกาสแจ้งโฆษณา ชวนคนไปเล่นพนันบัคคาร่ากันเลยตรงนั้น จะว่ามันหยามหน้าก็เกรงใจทั่นน่ะ
แล้วที่งามหน้าเข้าไปอีก เกิดมีเอกสารหลุดแสดงว่าท่ามกลางเสียงก่นด่าในความ ‘หา_เห_’ ของตำหวด จุดสนใจในพันธะหน้าที่หน่วย ‘บำบัดทุกข์บำรุงสุข’ สำหรับปวงประชาแห่งนี้ อยู่ที่การ “ขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี”
‘เรื่องเดิม’ ซึ่งดูเหมือนจะสลักสำคัญเหนืออื่นใด คือ “โครงการจัดหา ระบบตรวจจับและอุปกรณ์ต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ สำหรับขบวนเฮลิค้อปเตอร์พระราชพาหนะ วงเงิน ๓๔๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท” นี่นอกเหนือจากซื้อเฮลิค้อปเตอร์เกือบ ๙๔ ล้านด้วยนะ
อะไรมันจะทำให้พระราชวงศ์เสี่ยงภัยทางอากาศขนาดนั้น ไอ้ที่เขาร้องขอกันมาด้วยการชุมนุมเย้วๆ หลายเดือน จนโดนคดีหมิ่นกษัตริย์ปักหลังระนาว นั่นแค่ต้องการให้ปฏิรูปแก้ไข ในหลวงรวยเป็นล้านๆ ภาระภาษีอากรหลายอย่างยกเว้น บางอย่างคลุมเครือ
แล้วยังใช้งบประมาณจากรัฐ ‘สรรเสริญ’ กันอีกมโหฬาร
(https://prachatai.com/journal/2021/01/91087, https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2513879 และ https://www.posttoday.com/world/642028)