ขนาดต้องให้อาจารย์เก่า ‘อดีตพุทธะอิสระ’ สุวิทย์ ทองประเสริฐ
ออกมาเตือนเรื่องวุฒิภาวะนายกฯ นี่ก็คงเหลือขอเต็มทนแล้ว หลังจากที่ PM 2.0 ‘ปากเปรอะ’ พ่นขยะใส่ชาวบ้านไปทั่ว
ล่าสุดที่พูดเรื่องฝุ่นจิ๋ว (พีเอ็ม ๒.๕)
ใน กทม. กลับมาเป็นปัญหาคุกคามสุขภาพชาวกรุงขนาดหนักอีก
แทนที่จะพูดในทางสร้างสรรค์ ถ้าเพียงบอกว่าจะฉีดน้ำขึ้นฟ้า
ฉีดยาแรงโรงงานที่ปล่อยสารพิษ อัดฉีดขนส่งมวลชนให้ลดปล่อยควันดำ บลา บลา บลา
อย่างเมื่อก่อนก็ยังพอทน
แต่นี่ดันบอกปัญหาเกิดจากประชาชนสร้างกันเอง
ก็ต้องช่วยกันแก้ แน่นอนว่าปัญหามลพิษนั้นพฤติกรรมมนุษย์มีส่วนสร้างอย่างมาก
แต่ทางแก้แท้จริงอยู่ที่มาตรการอันแยบยลในการแก้ไขและป้องกันให้ตรงกับสมุฏฐาน
แต่ปากของคนเหลิงอำนาจเช่น
PM 2.0 กลับบอกให้รอฝนตกมาชะล้างฝุ่นผงในอากาศก็แล้วกัน
รัฐมนตรีสาธารณสุขนั่นยังพอทำเนา ไม่รู้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างไร ก็เลี่ยงไป “ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกัน”แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
แนะให้ประชาชนใช้รถส่วนตัวน้อยลง ถามว่า “ขึ้นรถไฟฟ้าแทนได้หรือไม่”
มีคนตอบว่าอยากให้อนุทินเองลองใช้ขนส่งสาธารณะบ้าง
ไม่ต้องมีคนเตรียมการให้ล่วงหน้า ไม่ต้องมีคณะติดตาม ลองก่อนสัก ๑
วันว่ามันยากง่ายแค่ไหน
อนุทิน ชาญวีรกูล โชว์กึ๋นต่อ พูดเรื่อง “เครื่องดีเซลที่เสื่อมสภาพจะลดใช้ได้ไหม
ต่างจังหวัดจะลดการเผาได้หรือไม่” และ “ประชาชนต้องดูแลตัวเองด้วย ออกจากบ้านกรุณาใช้หน้ากากอนามัย
งดออกกำลังกายกลางแจ้ง”
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านรู้แล้วทั้งนั้น
แต่ไม่สามารถยับยั้งปริมาณฝุ่นจิ๋วในอากาศที่เดี๋ยวก็มาอีกได้ ซ้ำร้ายคราวนี้กล่าวกันว่าเป็นชนิด
‘พีเอ็ม ๑.๐’ แรงกว่า
๒.๕ แต่กระนั้นก็ยังแรงไม่เท่า Prime Minister 2.0 ที่ชื่อ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จึงถึงขั้นต้องให้ ‘สมีฟรีด้อม’ ออกมาตักเตือนประยุทธ์ “อย่าพูดเยอะจนเกิดความรู้สึกอึดอัดกับชาวบ้านที่รับฟัง”
มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าวุฒิภาวะของผู้นำคนนี้มันช่างเปราะบาง
เป็นจุดบอดของรัฐบาล และ “ทำให้ชาวบ้านสัมผัสความดีไม่ได้”
ความนัยเบื้องหลังคำเตือนของสุวิทย์จะเป็นเรื่อง
รัฐบาลนี้มีความดีความเด่น แต่นายกฯ ทำให้ชาวบ้านสัมผัสไม่ได้ ดังที่ ศิโรตม์
คล้ามไพบูลย์ ทายทักหรือไม่ก็ตามแต่ ความประพฤติของประยุทธ์ในการพูดให้ร้ายและป้ายสีประชาชนทั่วไป
เป็นสิ่งที่เห็นได้เกลื่อนกลาดในทุกวันนี้
ดังประยุทธ์พูดแดกดันต่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ที่กลุ่มพรรคฝ่ายค้านรณรงค์ให้เกิด ว่าเป็นการ “ไม่เคารพกฎหมาย” นี่ก็พูดผิดหลักทั้งข้อเท็จจริงและวิชาการ
ยิ่งในประเทศที่เจริญแล้วรัฐธรรมนูญเป็นระเบียบสังคมที่แก้ไขได้
ไม่ใช่เช่นที่ประยุทธ์คิดเอาเองอย่างไม่มีสติปัญญารองรับว่า
“ทุกประเทศที่เขาเจริญ เขาเคารพกฎหมายทุกตัว” โดยเฉพาะอย่างไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารจัดการให้เขียนขึ้นมา
“ให้พวกเราได้เปรียบ” ดังที่ลิ่วล้อ คสช.คนหนึ่งเคยอ้าง
ขณะที่เศรษฐกิจของชาติอ่อนลงมาอย่างต่อเนื่องทุกด้าน
ไม่เคยกระเตื้อง มีแต่ทรงกับทรุดตลอดห้าปีที่ผ่านมา แล้วรัฐมนตรีคลัง ‘ของ’ คสช. ยังมีหน้าอ้างว่า Fitch Rating “ขยับอันดับเพิ่มขึ้นจาก Stable เป็นบวก”
หมายถึงพ้น ‘ทรง’ มาได้หน่อย
(https://www.thebangkokinsight.com/217027/, https://www.matichon.co.th/politics/news_1695347, https://voicetv.co.th/read/D0DWcbwDZ และ https://twitter.com/sirotek/status/1179407889414414336)
ทว่านายอุตตม สาวนายน ไม่สามารถบ่งว่าจะขยายตัวได้ถึง
๓% ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่
ต้องไม่ลืมกันว่าก่อนหน้านี้ไม่ถึงปี คุยใหญ่คุยโตไว้จะให้โตถึง ๔% โน่นแน่ะ ล้วน ‘ดีแต่พูด ทำไม่ได้เสียที’ ทั้งนั้น แล้ว ‘ลุง’ ทู้บนั่นเองอีก
“ขอประชาชนเสียสละจ่ายภาษีเป็น ๘%
ทำให้รายได้รัฐเพิ่มแสนล้านบาท #เสียสละกันได้ไหม”
@ThaiFarmer15 พยายามตอบให้ “ประชากรคนไทยมี ๖๐ กว่าล้านคน
มันก็จะยากอยู่นะครับลุง
แต่ถ้า...(ขออนุญาตเปลี่ยนคำเป็น ‘เฮีย’) เสียสละลาออกแค่คนเดียวมันจะง่ายกว่ามั้ย”