วันศุกร์, ตุลาคม 25, 2562

เรียนรู้ความคิดและความน่ากลัวของกระแสขวาและนีโบลิเบอรัลจากสวีเดน




คนจนขี้เกียจ?
...

หรือระบบต่างหากที่ทำให้คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย?
...

หลังจากการประชุมประจำปีของพรรคขวาๆอย่างโมเดอราตเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เราพบว่าพรรคกำลังถอยหลังเข้าคลอง กลับไปสู่ความเป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้น และออกจะเป็นไปแนวทางชาตินิยมเสียด้วยซ้ำ ทั้งเรื่องเพิ่มมาตราการการลงโทษกับผู้กระทำผิด การถอดถอนใบพำนักถาวรของคนต่างด้าวถ้าพวกเขากระทำผิดและส่งตัวกลับประเทศหลังได้รับโทษ ในกรณีที่ก่อเหตุร้ายแรง การปล่อยลอยแพ Public service แต่สิ่งนึงที่น่าสนใจและเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดคือ การลดภาษีรายได้ส่วนบุคคล
...

ถ้าใครอยู่สวีเดน ใช้ชีวิตทำงานที่นี่คงจะบ่นอุบกับเงินภาษีที่เราเสียรายเดือนก้อนโต แต่พอใครได้ยินนโยบายของโมเดอราตในครั้งนี้คงจะยินดีมิใช่น้อยเพราะนั่นหมายความว่าเราจะมีเงินเข้ากระเป่ามากขึ้น แต่ถามว่าจริงหรือ และเข้ากระเป๋าใครมากที่สุด
...

เราต้องเข้าใจก่อนว่าเงินภาษีในสวีเดนนั้นเอาไปใช้หลายอย่างทั้งการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ รวมไปถึงการสร้างรัฐแบบสวัสดิการ สวัสดิการสังคมทุกวันนี้อยู่ได้ด้วยเงินภาษีของรัฐ ถ้ารัฐมีรายรับน้อยลงอันเนื่องมากจากภาษีรายได้ส่วนบุคคลลดลง มันก็มีทางเลือกง่ายๆคือเอาเงินตรงอื่นมีโปะสวัสดิการสังคมเสีย หรือไม่งั้นก็ลดคุณภาพลงที่โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์คนชรา โรงเรียนเป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าการลดคุณภาพจึงเป็นทางเลือกที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ง่ายที่สุด
...

สาเหตุที่พรรคขวาหลายพรรคต่างมีแนวคิดลดภาษีนั้นคือเป็นการกระตุ้นให้คนออกมาทำงาน พวกนักการเมืองเหล่านี้อ้างว่า พวกที่นอนรอเงินช่วยเหลือนั้นได้รายรับเดือนๆนึงไม่ต่างจากพวกที่ทำงานสู้ชีวิตนัก ดังนั้นการลดภาษีรายได้ส่วนบุคคลนั้นทำให้เกิดช่องว่างตรงนี้ และนั่นหมายความว่าจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้พวกที่(ขี้เกียจสันหลังยาวในสายตาของนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม)กินเงินสวัดิการออกมาหางานทำ แต่นักวิชาการด้านนี้ออกมาค้านว่า ไม่มีผลงานวิจัยใดที่ชี้ว่าภาษีและความกระตือรือร้นนั้นมันเชื่อมโยงกัน
...

เท่านั้นยังไม่พอนักการเมืองฝ่ายนี้ยังอ้างว่าถ้าคุณบ่นโอดโอยว่าเงินเดือนน้อยนั้น คุณก็ขยันแสวงหางานที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าสิ พวกที่เจ็บไข้ได้ปว่ยก็ใช่ว่าจะนอนรอกินเงินช่วยเหลือ เราต้องบีบให้พวกเขากลับคืนสู่ตลาดแรงงานให้เร็วที่สุด
...

ผมมีเพื่อนร่วมงานที่ลาป่วยระยะยาวสองคน ทั้งสองทำงานหนัก รับผิดชอบโครงการใหญ่ๆมาก่อน แต่อยู่ๆมาวันนึงเกิดแบตหมดขึ้นมาดื้อๆ เป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ดีๆก็เกิดอาการเครียดรุมเร้าจนต้องลางานมานานเกินครึ่งปีแล้ว แล้วเราจะบีบคั้นให้พวกเขากลับมาทำงานทั้งๆที่สภาพร่างกายและจิตใจยังไม่พร้อมอย่างนั้นหรือ เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าผลลัพธ์จะเกิดอย่างไรถ้าพวกเขาไม่พร้อมที่จะกลับมาสมบุกสมบันกับงานที่ทำให้พวกเขาต้องเครียดแบบเรื้อรัง และเราจะปล่อยทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังอย่างนั้นเชียวหรือ
...

รายการอาเกนด้าเมื่อคืนนี้ทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า การลดภาษีรายได้ส่วนบุคคลนั้นมีผลลัพธ์อย่างไร และเกิดผลดีกับใคร การได้เงินเพิ่มเข้ามาในกระเป๋าสตางค์มากขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริงแต่มันไม่ได้อยู่บนรากฐานความเป็นธรรม ใครรายได้น้อยได้เงินน้อยใครรายได้มากได้มากตามกันไป เช่นเป็นพนักงานเสิร์ฟได้ราวๆ 300 โครนเพิ่มขึ้น จากเงินเดือนราวๆ 15 000 โครนต่เดือน ในขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนได้เงินเดือนราวๆ 75 000 โครนจะได้เพิ่ม ราวๆ 2020 โครน ส่วนหัวหน้าพรรคจะได้เงินคืนมาราวๆหนึ่งหมื่นโครนต่อเดือน ซึ่งนี่จะส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สถานะภาพทางสังคมและชนชั้นมากยิ่งขึ้น
...

คำตอบง่ายๆของพรรคอนุรักษ์นิยมที่ต้องการสร้างชนชั้นอีกครั้งนั้นตอบว่า งั้นก็หางานดีๆสิ งานที่เงินดีๆ และเหมือนเป็นการบอกเป็นนัยๆว่าถ้าเงินไม่พอก็หางานพิเศษเพิ่มสิ สิ่งที่วิเศษอย่างหนึ่งในสวีเดนนั้นก็คือถ้าเรามีงานประจำทำโอกาสน้อยมากที่เราจะหารำไพ่พิเศษนอกเวลา โดยส่วนมากแล้วงานหลักงานเดียวก็เอาอยู่ เพราะนอกเหนือจากรายจ่ายภายในบ้านแล้วนั้น เราแทบจะไม่ต้องเสียอะไรเลย ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ค่าธรรมเนียมนู่นนี่นั่นก็แทบจะไม่มี ค่ายาสำหรับเด็กเล็กก็ไม่ต้องเสีย เรียนดนตรีก็ไม่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนให้กับเด็กๆ เพราะล้วนมาจากเงินภาษีทั้งนั้น
...

แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเงินภาษีที่เป็นของรัฐลดลง โดยที่ฝ่ายขวาอ้างว่าเพื่อเสรีภาพและความยุติธรรมสำหรับคนทำงานหนัก พวกเขาอาจจะอยากเอาเงินเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์เพื่อตัวเองมากกว่าจะเอาไปเลี้ยงคนที่นอนพึ่งสวัสดิการ ความยุติธรรมคืออะไรหลายคนอาจจะตั้งคำถาม
...

ความยุติธรรมคือการที่คุณเกิดมาไม่ว่าจะมาจากครอบครัวชนชั้นใดก็ตาม พวกคุณมีสิทธิ์ที่จะได้รับการศึกษา ได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ มีโอกาสในการเลือกดำเนินชีวิต
...

ความยุติธรรมคือเมื่อลูกคุณเจ็บไข้ได้ป่วยพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด พวกเขาไม่จำเป็นต้องนอนรอความตายเพียงเพราะคุณไม่มีกำลังทรัพย์ในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล
...

ความยุติธรรมคือเมื่อคุณล้มหมอนนอนเสื่อในยามแก่ชราหลังจากที่คุณรับใช้ชาติด้วยการจ่ายภาษีมาตลอดชีวิตและถึงเวลาที่รัฐจะมาดูแลไม่ใช่คุณนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวดายเพียงเพราะไม่มีคนใกล้ชิดดูแลคุณ
...

อะไรคือความยุติธรรม
...

แนวความคิดแบบนีโบลิเบอรัลกำลังย้อนกลับเข้ามาในยุโรปในช่วงหลังๆ การสร้างรอยร้าวระหว่างชนชั้น ทำให้โครงสร้างทางสังคมเรรวน รายได้กลายเป็นปัจจัยในการตอบสนองความอยากและตรงจุดนี้แหล่ะการบริโภคกลายเป็นจุดดึงดูดผู้คนในประเทศโลกที่หนึ่งอย่างมาก โดยที่พวกเขาไม่ได้สำเหนียกว่าถ้าไม่เป็นเพราะรัฐสวัสดิการในอดีตที่ทุกคนต่างแบ่งปันกันผ่านความรับผิดชอบทางภาษี สวีเดนคงไม่อาจจะมายืนตรงนี้ได้ แล้วนี่เราจะไม่เรียก นโยบายเหล่านั้นว่าถอยหลังเข้าคลองได้อย่างไร
...

ความน่ากลัวอย่างหนึ่งของนีโอลิเบอรีลนั่นก็คือ การกลับมาของฟาสซิสต์ เหล่าชาตินิยมในหลายๆประเทศในยุโรปนั้นมาจากการโกรธแค้นตลาดเสรีนิยม และความคิดแบบนี้แหล่ะที่จะทำลายสังคมอย่างไม่มีชิ้นดี


Kasemsun Rawvilai
..






ภาษีโรบินฮู้ด ปล้นคนรวยช่วยคนจนจริงหรือ?

สมัยเรียนกฎหมายก่อสร้าง กฎหมายสวีเดนขั้นพื้นฐานเป็นส่วนหนึ่งของวิชา หมายความว่าเราจะต้องเรียนรู้ว่าอะไรคือฐานรากของรัฐธรรมนูญ อะไรคือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนั่นเป็นข้อเสียเปรียบอย่างมากสำหรับเราที่กลายเป็นคนต่างด้าวคนเดียวที่เรียนวิชานี้ เพราะมันเป็นเรื่องลำบากมากที่จะเข้าใจ ไม่ใช่เพียงเพราะกำแพงภาษาเท่านั้น แต่แนวความคิดที่ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไร โครงสร้างการถ่ายอำนาจจากศูนย์กลางคืออะไร เป็นเรื่องที่เราเข้าใจได้ลำบากมากในเชิงปฏิบัติ

มันใช้เวลานนานมากกว่าที่เราจะเข้าใจโครงสร้างที่ซับซ้อนนี้ แต่นั่นเป็นเหมือนการเปิดโลกของเราไปสู่อีกมิติหนึ่ง เหมือนเราตื่นจาการหลับไหล เราเข้าใจว่าการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยคืออะไร และนั่นเป็นถือว่าเป็นฐานรากสำคัญของตัวผมเองและคนร่วมเรียนในโปรแกรมนี้ เพราะทุกคนสนใจที่จะไปทำงานเป็นข้าราชการตามเทศบาลต่างๆ

การปกครองแบบกระจายอำนาจของสวีเดนนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยากอันหนึ่ง และผมเองต้องใช้เวลานนานเป็นปีๆกว่าจะเข้าใจได้ เราต้องลองนึกว่า สวีเดนมี 290 คอมมูน และทุกคอมมูนนั้นเหมือนบรรษัทที่ไม่หวังผลกำไร 290 แห่ง และแต่ละคอมมูนนั้นมีรายได้จากภาษี ดังนั้นแต่ละคอมมูนจึงต้องแข่งขันกันระหว่างเมืองเพื่อดึงดูดให้คนเข้าไปอยู่เมืองตัวเอง เพื่อที่เทศบาลนั้นๆจะได้มีรายรับและเอาเงินไปบริหารจัดการตามที่ตัวเองได้วางนโยบายเอาไว้ และนี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมคอมมูนแต่ละคอมมูนถึงเลือกที่จะแข่งขันกันมากกว่าที่จะร่วมมือกัน เหมือนบริษัทที่พยายามดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการของตนมากที่สุด

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมืองเล็กๆที่มีประชากรไม่มาก จะเอาตัวรอดได้อย่างไรกับรายรับที่ไม่สมดุลกับรายจ่าย Kommunala utjämningssystemet หรือเรียกง่ายๆว่าภาษีโรบินฮู้ดจึงเกิดขึ้น เรียกได้ว่านี่คือเงินก้นถุงก้อนโตที่อยู่ราวๆ 6 หมื่น 5 พันล้านโครน ที่แจกจ่ายไปตามความต้องการของคอมมูนต่างๆ ซึ่งมันจะแบ่งตามหัวข้อ ใครมีคุณสมบัติครบนั้นก็ได้มากกว่าชาวบ้านเขา ซึ่งโดยส่วนมากก็จะเป็นเมืองเล็กๆตามชนบทที่ห่างไกล ที่ต้องการรับเงินช่วยเหลือเพื่อมาหนุนสวัสดิการสังคม ซึ่งต่างจากเมืองใหญ่ๆที่มีรายรับสูงอยู่แล้ว เราอาจจะเรียกเงินภาษีที่ไปโปะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนบทกับเมืองแบบนี้ว่า “เอาเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน”(ตามชนบท)ก็อาจจะได้

รัฐบาลเลอเวนสองนี้ก็เพิ่งจะเผยร่างงบประมาณแห่งชาติไปเดือนกว่าๆและหวังว่าจะโหวตผ่านในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ และหนึ่งในนั้นคือการปรับเงินช่วยเหลือคอมมูนนี้กันใหม่ ซึ่งรัฐบาลทุ่มความสนใจไปที่เมืองเล็กๆ เมืองชนบทในที่ห่างไกล หมายความเมืองใหญ่ๆนั้นก็จะได้รับเงินช่วยเหลือนี้ลง ถ้าคิดในอีกแง่เมืองใหญ่ๆที่มีรายได้สูงก็จะสูญเสียรายได้ตรงนี้ บางเมืองอย่างดานเดอรีดที่มีแต่เศรษฐีอยู่ก็จะติดลบเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าพรรคการเมืองฝ่ายขวานั้นออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยตรงนี้ เพราะฐานเสียงของตัวเองที่อยู่ตามคอมมูนเหล่านี้กำลังสูญเสียงบประมาณมหาศาล

เงินที่รัฐบาลหวังว่าไปโปะหัวเมืองเล็กๆย่อยๆนั้นเหมือนการห้ามเลือดชั่วคราวไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้ การให้เงินก้นถุงไปตามคอมมูนที่ว่านั้นเป็นเหมือนการยั้งไม่ให้คนตามชนบทเหล่านั้นต้องย้ายเข้าสู่เมืองเหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ เงินเหล่านั้นจะไปช่วยบำรุงโรงพยาบาล สาธารณสุข และโรงเรียนสามารถยืดชีวิตต่อไปได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเงินช่วยเหลือเหล่านี้ก็แค่เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว แต่ในระยะยาวรัฐบาลต้องทำอะไรมากกว่านี้

ที่ทำงานเพิ่งจะรายงานเรื่องงบประมาณว่า เราจะสูญเสียเงินถึง 40 ล้านโครนจากการปรับเปลี่ยนอัตราตรงนี้ จะว่าไปแล้วไม่ได้เข้าเนื้อเลยเพียงแต่ได้น้อยกว่าเดิมจากปีที่ผ่านๆมา ปัญหาอีกอย่างคือเราใช้งบเสมอตัวมาตลอดไม่มีเงินในกองคลังเลย ดังนั้นวิธีแก้คือเราต้องปรับทัศนคติการวางแผนใหม่ อะไรที่ลดค่าใช้จ่ายได้ก็ทำ และทำงานแบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับเมืองเรา 40 ล้านคือเงินที่เราเอาไปใช้พัฒนาบางอย่างที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ยกระดับมาตราฐานบางอย่าง แต่สำหรับคอมมูนบางคอมูนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องความเป็นความตายเลย บางคอมมูนนี่อาจจะต้องถึงกับล้มละลาย และลองคิดดูว่าเทศบาลล้มละลายเป็นอย่างไร เราคงอาจจะจินตนาการได้ลำบาก แต่ลองคิดง่ายๆเอาว่า งบทุกอย่างตัดหมดเหลือที่จำเป็นๆ ห้องสมุดปิดตัว โรงเรียนปิดตัว สาธารณสุขจำกัดเวลาทำการ ระบบเซอร์วิสต่างๆลดขนาดลง แล้วใครจะไปอยู่คอมมูนเหล่านี้ ทุกคนต่างที่จะกระโดดหนี แล้วคนที่เหลืออยู่ก็เป็นแค่คนที่ไม่มีโอกาสทางการเงิน เหลือแต่ผู้สูงอายุ แล้วเมืองก็จะตายอย่างช้าๆ

ตอนนี้กระแสฝ่ายขวาออกมาโวยเรื่องการแบ่งส่วนแบ่งเค้กนี้ว่าไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะพรรคฝ่ายขวาชาตินิยมก็โบ้ยไปว่านี่เป็นเพราะการรับเอาคนต่างด้าวและผู้ลี้ภัยมา ทำให้บางคอมมูนต้องรับเคราะห์ตรงนี้ ซึ่งมันเป้นเรื่องจริงแค่บางส่วนเท่านั้น นักวิชาการก็บอกว่าเราต้องมองด้วยว่าสวีเดนมีประชากรที่เพิ่มขึ้นและส่วนมากไม่ใช่วัยทำงาน ทำให้รัฐและคอมมูนต้องรับภาระตรงนี้ ดังนั้นการที่เราจะเออออห่อหมกไปกับความคิดฝ่ายขวาตกขอบนั้นก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคอมมูนนี้มันมีมานานแล้ว และวันนี้เราก็เห็นผลของมัน ยังดีที่เรายังมีภาษีโรบินฮู้ดตรงนี้ที่ช่วยบรรเทา ยื้อชีวิตไว้ได้แต่มันก็คงได้ไม่ตลอด การผนึกกำลังระหว่างคอมมูนนั้นอาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะเป็นการแก้ไขในระยะยาว การเลือกแข่งกันว่าเมืองใครพัฒนาการว่าในรูปแบบทางกายภาพนั้นอาจจะล้าสมัยไปแล้วเสียด้วยซ้ำ

แต่ที่แน่ๆการเดินไปสู่รูปแบบตลาดเสรีใหม่แบบปลาเล็กกินปลาใหญ่คงใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน เราอย่าลืมว่านี่มันไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชีเท่านั้น แต่มันคือความเป็นความตาย มันคืออนาคตของใครบางคนเลยทีเดียว


Kasemsun Rawvilai