วันศุกร์, ตุลาคม 18, 2562

เก็บตะวัน 'ส่องแสงแรงกล้า' ปิยบุตรอภิปรายไม่เอาการใช้ 'มาตรา ๔๔ จำแลง'


มันจักต้องกล้าหาญมากนักหรือในการปฎิบัติตามครรลองระบอบรัฐสภา รักษาระเบียบรัฐธรรมนูญไม่ให้หัวหน้าฝ่ายบริหารใช้อำนาจล่วงล้ำตามอำเภอใจ แม้นว่าก็รู้ๆ กันว่ารัฐบาลนี้เพียงแค่เอาการเลือกตั้งบังหน้า เพื่อสืบทอดอำนาจเป็น คสช.๒

การอภิปราย ไม่รับการปรับ กฎหมายชั่วคราวพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลไปสู่หน่วยรักษาพระองค์ ให้เป็นพระราชบัญญัติ กฎหมายถาวรของปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ นั่น

เป็นการรักษาขอบเขตอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร ที่ ส.ส. ๓๖๖ คน รวมทั้งที่อยู่ในสังกัด พรรคเพื่อไทยไม่พร้อมที่จะร่วมด้วย อาจจะเนื่องเพราะ “ไม่รู้ หรือฝัน” เหมือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัวสำคัญที่ปิยบุตรชี้ว่าเป็นผู้ละเมิดอำนาจนั้น

“ท่านคงคุ้นชินกับการมีอำนาจพิเศษตามมาตรา ๔๔ ที่ท่านใช้มา ๕ ปีเศษ ประเภทเปิดปุ๊บแล้วติดปั๊บทันที...มีหลายกรณีครับ ที่ท่านออกประกาศคำสั่งแล้วมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แล้วท่านก็แก้ไขด้วยการออก ม.๔๔ มาแก้ไขมันอีก”
 
ปิยบุตรยกตัวอย่างการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จพิเศษอย่างเหลิงของหัวหน้าคณะยึดอำนาจ ที่ทำให้ประธานสภาฯ ชวน หลีกภัย เห็นว่าออกนอกประเด็น ขอให้กลับเข้าเรื่อง ซึ่งก็เป็นประเด็นเดียวกันว่ารัฐบาลประยุทธ์ ๒ ออกพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังฯ แบบเดียวกัน คือ ตามอำเภอใจ

ประเด็นอยู่ที่มีรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๒ ที่กำหนดว่าการออกพระราชกำหนดโดยรัฐบาลจะต้องมีความเหมาะสมอย่างไร เช่น วรรคสอง ที่ว่าจักต้อง “เป็นกรณีฉุกเฉิน ที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้”

ปิยบุตรชี้ให้เห็นว่าการออก พรก.นี้ไม่เข้าข่าย ในเมื่อในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และการถวายสัตย์ของเหล่าทหาร แม้แต่นโยบายข้อแรกของรัฐบาลนี้ล้วนระบุตรงกันว่า ทั้งเครือข่ายกลาโหมมีหน้าที่ถวายการอารักขาปกป้อง และสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว -พรบ.กลาโหม มาตรา ๘(๒)

มิได้มีเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนจะต้องออก พรก.แต่อย่างใด ซึ่งหมายความว่าออกเป็น พรบ.ในภายหลังตามกระบวนการรัฐสภา มิใช่ว่านึกอยากจะออกกฎหมายอะไรเองเหมือนเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล คสช.๑ ใช้ ม.๔๔ ไม่ได้แล้วก็หันมาใช้ พรก.แทน

“ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย” เพื่อแสดงว่ามีเหตุจำเป็นเร่งด่วนอันจะทำให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงถ้าไม่ออก พรก.นี้ ดังนั้น “หากเราปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป” ก็เท่ากับเป็นการยืนยันการใช้อำนาจตามใจชอบของ พล.อ.ประยุทธ์
“นานวันเข้าครับ ท่านประธานฯ ก็จะกลายเป็นการใช้อำนาจ 'มาตรา ๔๔ จำแลง' ครับ เรื่องนี้จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง...ทั้งการถวายสัตย์ปฏิญานไม่ครบถ้วนตาม รธน.มาตรา ๑๖๑ ทั้งการแถลงนโยบายโดยไม่แจกแจงที่มาของรายได้ ตาม ม.๑๖๒

ทั้งการตรา พรก.แก้ไขเพิ่มเติม พรบ.ส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.๒๕๖๒ จนกระทั่งมาถึงการตรา พรก.ฉบับนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในมาตรา ๑๗๒

ทั้งหมดนี้มันเป็นปัญหาพื้นฐานที่สำคัญ” ว่าเป็นการ “สร้างบรรทัดฐานที่ผิดๆ นายกฯ อยากได้กฎหมายอะไร ขี้เกียจรอสภา ไม่อยากมาสภา ก็ใช้อำนาจตราพระราชกำหนด”

ครั้นปิยบุตรเริ่มบรรยายถึงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั่นประธานฯ (ชวน) ก็เร่งเตือนให้สรุป ว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ปิยบุตรจึงได้เร่งสรุปว่า ระบอบที่ว่านี้ไม่ใช่ สาธารณรัฐ และไม่ใช่ สมบูรณาญาสิทธิราช ด้วยเช่นกัน
 
“ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธณณมนูญ ที่ ๓/๒๕๖๒ ในคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ เนื้อหาของคำวินิจฉัยก็ยืนยันว่า...พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ทรงเป็นกลางทางการเมือง และใช้คำนี้เลยว่าทรง ปกเกล้าฯ แต่ไม่ ปกครอง

...รัฐมนตรีต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” (ตอนนี้ทั่นประธานฯ ร้อนใจเร่งให้สรุปอีก) ซึ่งพอดีเป็นจุดแทงใจว่าจะผลักภาระหรือปัดขยะใส่ใต้เบื้องยุคลบาทไม่ได้นะ การรวบรัดออก พรก.เจ้าปัญหาเป็นความมักง่ายเอาแต่ใจของรัฐบาลประยุทธ์เอง

ปิยบุตรเลยบอกทั่นประธานฯ อีกว่าการอภิปรายของเขานี้เพื่อยืนยันอำนาจของรัฐสภาในการตรวจสอบถ่วงดุลกับฝ่ายบริหาร ปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตยฯ “การแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี มิใช่ชี้หน้าด่าคนอื่น...

(ทั่นประธานฯ ท้วงอีกทีว่า “นอกๆ ไปแล้วครับ”) ปิยบุตรก็เลยแถมปลายนวมว่า “มิใช่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์”


ซึ่งขณะเขียนนี้ ยังไม่เห็นมีใครแถ แต่ว่าไม่ช้าคงมา