เมื่อ สุนัย ผาสุก ผู้อำนวยการ 'ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์' ประจำประเทศไทย นั่งคุยกับ จอห์น วิญญูู ถึงผลที่ตามมาจากผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล คสช.ภาค ๒ ว่าเป็นความหดหู่อันเกิดจาก "ตอนนี้น่ะติดหล่มเผด็จการ แล้วไปไหนไม่ได้"
สุนัยกล่าวในช่วงท้ายว่า "การเคลื่อนไหวโดยองค์การสิทธิมนุษยชน...จะไม่มีผลเลยในท้ายที่สุด ถ้าหากคนไทยในประเทศไม่ร่วมเป็นพันธมิตรในการบอกว่า เราไม่ทนอีกต่อไป"
ซึ่งประจวบพอดีกับที่มีการชักชวนกันเข้าชื่อกันทาง Change.org รณรงค์เรียกร้องให้มีการยกเลิก มาตรา ๒๖๕ และ ๒๗๙ ในรัฐธรรมนูญ ที่ให้อำนาจ คสช.สืบเนื่องไปไม่มีกำหนดจนกว่าจะมีพระราชบัญญัติใหม่มาลบล้าง
สำหรับเนื้อความที่สุนัยคุยกับจอห์น ในรายการ 'หาเรื่อง (คุย)' นั้นเราคัดถ้อยคำบางตอนมาเสนอไว้แต่พอสังเขป ดังนี้
"สิ่งที่ คสช.ทำเอาไว้
มันยังมีผลตามรัฐธรรมนูญต่อไป...คำสั่งต่างๆ เรื่องของการเซ็นเซอร์สื่อ เรื่องของการปราบปรามความคิดเห็นต่างๆ
หนักกว่านั้นทหารมีอำนาจในการจับคนไปขังดดยไม่ต้องตั้งข้อหาอะไรเลย ขังในที่ปิดลับ
๗ วัน ไม่มีทนาย ไม่มีให้ญาติเข้าเยี่ยม อำนาจนี้ยังอยู่
ถ้าไม่มีการออกกฎหมายมาแก้
อำนาจนี้ยังอยู่...นี่คือสิ่งที่บอกว่าอำนาจ คสช.จะแปลงสภาพไปเป็นกฎหมาย
โดยที่ไม่มีการชี้แจงว่าจะเป็นคำสั่งไหนบ้าง จนถึงวันนี้ยังไม่มีการรับปากจาก คสช.
รวมถึงคุณวิษณุ (เครืองาม) ด้วย
ว่าที่จะแปลงร่างจากคำสั่ง
คสช.ไปเป็นกฎหมายนี่
มันรวมถึงที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเหล่านี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้ารวม
การเลือกตั้งไม่เพียงสืบทอดอำนาจ คสช. แต่สืบทอดเครื่องมือในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย
...ตอนนี้น่ะติดหล่มเผด็จการ
แล้วไปไหนไม่ได้ เราต้องหาทางออกจากหล่มนี้ให้ได้ ด้วยการบอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ต้องทำบ้าง
ตอนนี้ในเรื่องของนานาชาติ...สิ่งที่มีการพูดคุยไม่ใช่เรื่องคว่ำบาตรประเทศไทย
ไม่มีใครอยากคว่ำบาตรประเทศ แต่เราอยากจะให้ช่องทางที่ไทยต้องการการยอมรับจากนานาชาติ
เป็นเงื่อนไขในการต่อรองว่าต้องทำอะไรบ้าง
เป็นรูปธรรมง่ายๆ
ไอ้บรรดาคำสั่งชั่วร้ายมากมายที่จะเป็นผลผลิตตกค้างในยุค คสช.เนี่ย ขอให้พรรคทั้งหลายที่อยู่ในสภา
รัฐบาลและฝ่ายค้านมีฉันทามติร่วมกันว่า
คำสั่งที่ละเมิดสิทธิทั้งหลายนี่จะเป็นวาระเร่งด่วนให้ยกเลิกภายใน ๓ เดือนแรก
อันนี้เริ่มมีการส่งสัญญานจากนานาชาติแล้วว่า
สิ่งนี้คือสิ่งที่ควรจะทำ เป็นขั้นตอนการหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ
ตอนแรกก็ว่าเลือกตั้งอาจจะเป็นการพิสูจน์ความจริงใจ
แต่การเลือกตั้งมันโกงมากจนพิสูจน์อะไรไม่ได้
หรือว่ากระบวนการตรวจสอบข้อร้องเรียนความขัดแย้งที่มาจากการเลือกตั้ง มันลำเอียงแบบเลือกข้างชัดๆ
ก็เลยวัดผลอะไรไม่ได้
ฉะนั้นก็เลยต้องหาปัจจัยชี้วัดใหม่
ตอนนี้ที่น่าจะทำได้ก็คือการยกเลิกคำสั่งที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนโดยเร็วที่สุด
ยุคสมัยนี้ยังเป็นยุคที่พลเรือนยังต้องขึ้นศาลทหารอยู่
ถ้าหากเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ประยุทธ์ประกาศคำสั่งว่าไม่เอาพลเรือนขึ้นศาลทหารแล้ว
ฉะนั้นไปขุดเอาเรื่องเก่าๆ มาได้ ไปเอารูปถ่าย เอาคลิปอะไรมา
การเอาพลเรือนขึ้นศาลทหารนี่ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน
ถ้าไม่ใช่เผด็จการ (อันนี้คือสิ่งที่นานาชาติ) เขาเริ่มเรียกร้องมา
ขอวัดความจริงใจกันหน่อยไหมว่า จะทำประเทศไทยให้เป็นอารยะ เคารพกติกาประชาธิปไตย
เคารพสิทธิมนุษยชน (ไม่ถึงขั้นขอให้รัฐบาลออกไปอะไรอย่างนั้น) เขาไม่ไปไกลขนาดนั้น
(คือเขาขอ) สิ่งที่เป็นรูปธรรม (เบสิค เบื้องต้นแบบนี้ก่อน)
และที่สำคัญคุณประยุทธ์มีอะไรที่ย้อนแย้งในตัวเองเยอะนะ
เป็นเผด็จการทหารที่ประกาศวาระสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คุณอย่าลืมว่านี่ไม่ใช่เรื่องนานาชาติมาตั้งเงื่อนไขกับคุณ
เป็นเงื่อนไขที่คุณสร้างขึ้นมาเอง แต่คุณไม่ทำตามคำพูด
โอ้ นี่หนักนะ
ความจริงมันเจ็บ ไอ้รูปตุ๊กตาพิน็อคคิโอกลายเป็นสัญญลักษณ์คุณประยุทธ์
คือถ้าไม่อยากถูกล้อก็ทำตามคำพูดตัวเองที่รับปากรับคำไว้
ทหารนี่เป็นอาชีพของสุภาพบุรุษ
(คือ มีเกียรติ) เออ พูดคำไหนคำนั้น แต่ คสช.เนี่ยมันไม่ใช่
ถ้าหากยังเคารพเครื่องแบบตัวเอง ศักดิ์ศรีความเป็นทหารก็เปลี่ยนพฤติกรรม
หดหู่มาก สิ่งที่เกิดขึ้นกับยุคสมัยของ
คสช. ก็คือรัฐบาล ๕ ปีแล้ว ผลของมันก็ยังอยู่กับเราต่อไปเรื่อยๆ
มันเป็นสถานการณ์ปลายเปิด มันเป็นความหดหู่ที่มองไม่เห็นก้น ว่าเราจะออกมาได้เมื่อไหร่
เราจะขึ้นจากเหวนี้ได้เมื่อไร มันถึงย่ำแย่มาก
การเคลื่อนไหวโดยองค์กรสิทธิมนุษยชน
ทั้งองค์กรในประเทศและนานาชาติ ประเทศที่เป็นมิตรกับไทย หรือองค์กรในยูเอ็นน่ะ
จะไม่มีผลเลยในท้ายที่สุด ถ้าหากคนไทยในประเทศไม่ร่วมเป็นพันธมิตรในการบอกว่า
เราไม่ทนอีกต่อไปกับอำนาจเผด็จการ