วันจันทร์, มิถุนายน 10, 2562

สุนัย ผาสุก เผยนานาชาติเริ่มเรียกร้องยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน "หดหู่มาก...ผลของมันก็ยังอยู่กับเราต่อไปเรื่อยๆ"


เมื่อ สุนัย ผาสุก ผู้อำนวยการ 'ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์' ประจำประเทศไทย นั่งคุยกับ จอห์น วิญญูู ถึงผลที่ตามมาจากผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล คสช.ภาค ๒ ว่าเป็นความหดหู่อันเกิดจาก "ตอนนี้น่ะติดหล่มเผด็จการ แล้วไปไหนไม่ได้"

สุนัยกล่าวในช่วงท้ายว่า "การเคลื่อนไหวโดยองค์การสิทธิมนุษยชน...จะไม่มีผลเลยในท้ายที่สุด ถ้าหากคนไทยในประเทศไม่ร่วมเป็นพันธมิตรในการบอกว่า เราไม่ทนอีกต่อไป" 

ซึ่งประจวบพอดีกับที่มีการชักชวนกันเข้าชื่อกันทาง Change.org รณรงค์เรียกร้องให้มีการยกเลิก มาตรา ๒๖๕ และ ๒๗๙ ในรัฐธรรมนูญ ที่ให้อำนาจ คสช.สืบเนื่องไปไม่มีกำหนดจนกว่าจะมีพระราชบัญญัติใหม่มาลบล้าง
สำหรับเนื้อความที่สุนัยคุยกับจอห์น ในรายการ 'หาเรื่อง (คุย)' นั้นเราคัดถ้อยคำบางตอนมาเสนอไว้แต่พอสังเขป ดังนี้

"สิ่งที่ คสช.ทำเอาไว้ มันยังมีผลตามรัฐธรรมนูญต่อไป...คำสั่งต่างๆ เรื่องของการเซ็นเซอร์สื่อ เรื่องของการปราบปรามความคิดเห็นต่างๆ หนักกว่านั้นทหารมีอำนาจในการจับคนไปขังดดยไม่ต้องตั้งข้อหาอะไรเลย ขังในที่ปิดลับ ๗ วัน ไม่มีทนาย ไม่มีให้ญาติเข้าเยี่ยม อำนาจนี้ยังอยู่

ถ้าไม่มีการออกกฎหมายมาแก้ อำนาจนี้ยังอยู่...นี่คือสิ่งที่บอกว่าอำนาจ คสช.จะแปลงสภาพไปเป็นกฎหมาย โดยที่ไม่มีการชี้แจงว่าจะเป็นคำสั่งไหนบ้าง จนถึงวันนี้ยังไม่มีการรับปากจาก คสช. รวมถึงคุณวิษณุ (เครืองาม) ด้วย

ว่าที่จะแปลงร่างจากคำสั่ง คสช.ไปเป็นกฎหมายนี่ มันรวมถึงที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเหล่านี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้ารวม การเลือกตั้งไม่เพียงสืบทอดอำนาจ คสช. แต่สืบทอดเครื่องมือในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย

...ตอนนี้น่ะติดหล่มเผด็จการ แล้วไปไหนไม่ได้ เราต้องหาทางออกจากหล่มนี้ให้ได้ ด้วยการบอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ต้องทำบ้าง

ตอนนี้ในเรื่องของนานาชาติ...สิ่งที่มีการพูดคุยไม่ใช่เรื่องคว่ำบาตรประเทศไทย ไม่มีใครอยากคว่ำบาตรประเทศ แต่เราอยากจะให้ช่องทางที่ไทยต้องการการยอมรับจากนานาชาติ เป็นเงื่อนไขในการต่อรองว่าต้องทำอะไรบ้าง

เป็นรูปธรรมง่ายๆ ไอ้บรรดาคำสั่งชั่วร้ายมากมายที่จะเป็นผลผลิตตกค้างในยุค คสช.เนี่ย ขอให้พรรคทั้งหลายที่อยู่ในสภา รัฐบาลและฝ่ายค้านมีฉันทามติร่วมกันว่า คำสั่งที่ละเมิดสิทธิทั้งหลายนี่จะเป็นวาระเร่งด่วนให้ยกเลิกภายใน ๓ เดือนแรก

อันนี้เริ่มมีการส่งสัญญานจากนานาชาติแล้วว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ควรจะทำ เป็นขั้นตอนการหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ

ตอนแรกก็ว่าเลือกตั้งอาจจะเป็นการพิสูจน์ความจริงใจ แต่การเลือกตั้งมันโกงมากจนพิสูจน์อะไรไม่ได้ หรือว่ากระบวนการตรวจสอบข้อร้องเรียนความขัดแย้งที่มาจากการเลือกตั้ง มันลำเอียงแบบเลือกข้างชัดๆ ก็เลยวัดผลอะไรไม่ได้

ฉะนั้นก็เลยต้องหาปัจจัยชี้วัดใหม่ ตอนนี้ที่น่าจะทำได้ก็คือการยกเลิกคำสั่งที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนโดยเร็วที่สุด

ยุคสมัยนี้ยังเป็นยุคที่พลเรือนยังต้องขึ้นศาลทหารอยู่ ถ้าหากเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ประยุทธ์ประกาศคำสั่งว่าไม่เอาพลเรือนขึ้นศาลทหารแล้ว ฉะนั้นไปขุดเอาเรื่องเก่าๆ มาได้ ไปเอารูปถ่าย เอาคลิปอะไรมา

การเอาพลเรือนขึ้นศาลทหารนี่ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ถ้าไม่ใช่เผด็จการ (อันนี้คือสิ่งที่นานาชาติ) เขาเริ่มเรียกร้องมา ขอวัดความจริงใจกันหน่อยไหมว่า จะทำประเทศไทยให้เป็นอารยะ เคารพกติกาประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชน (ไม่ถึงขั้นขอให้รัฐบาลออกไปอะไรอย่างนั้น) เขาไม่ไปไกลขนาดนั้น (คือเขาขอ) สิ่งที่เป็นรูปธรรม (เบสิค เบื้องต้นแบบนี้ก่อน)

และที่สำคัญคุณประยุทธ์มีอะไรที่ย้อนแย้งในตัวเองเยอะนะ เป็นเผด็จการทหารที่ประกาศวาระสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คุณอย่าลืมว่านี่ไม่ใช่เรื่องนานาชาติมาตั้งเงื่อนไขกับคุณ เป็นเงื่อนไขที่คุณสร้างขึ้นมาเอง แต่คุณไม่ทำตามคำพูด

โอ้ นี่หนักนะ ความจริงมันเจ็บ ไอ้รูปตุ๊กตาพิน็อคคิโอกลายเป็นสัญญลักษณ์คุณประยุทธ์ คือถ้าไม่อยากถูกล้อก็ทำตามคำพูดตัวเองที่รับปากรับคำไว้

ทหารนี่เป็นอาชีพของสุภาพบุรุษ (คือ มีเกียรติ) เออ พูดคำไหนคำนั้น แต่ คสช.เนี่ยมันไม่ใช่ ถ้าหากยังเคารพเครื่องแบบตัวเอง ศักดิ์ศรีความเป็นทหารก็เปลี่ยนพฤติกรรม

หดหู่มาก สิ่งที่เกิดขึ้นกับยุคสมัยของ คสช. ก็คือรัฐบาล ๕ ปีแล้ว ผลของมันก็ยังอยู่กับเราต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นสถานการณ์ปลายเปิด มันเป็นความหดหู่ที่มองไม่เห็นก้น ว่าเราจะออกมาได้เมื่อไหร่ เราจะขึ้นจากเหวนี้ได้เมื่อไร มันถึงย่ำแย่มาก

การเคลื่อนไหวโดยองค์กรสิทธิมนุษยชน ทั้งองค์กรในประเทศและนานาชาติ ประเทศที่เป็นมิตรกับไทย หรือองค์กรในยูเอ็นน่ะ จะไม่มีผลเลยในท้ายที่สุด ถ้าหากคนไทยในประเทศไม่ร่วมเป็นพันธมิตรในการบอกว่า เราไม่ทนอีกต่อไปกับอำนาจเผด็จการ

เราไม่ทนต่อไปกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน และจะเกิดกับใครก็ได้ และเป็นการเกิดขึ้นแล้วเอาผิดใครไม่ได้ด้วย พอเสียที สิ่งเหล่านี้ต้องยุติ"