วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 11, 2562

ซดกันมันเยิ้มต่อหน้า กกต. ยุบ ทษช. กับ ตัดสิทธิประยุทธ์


คมชัดลึก(ยุคสนธิญานสิงสู่ เนชั่น) โหมหนัก ยุบพรรคทษช. พ่วง เพื่อไทยหลังจากที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เล่นด้วย ชี้ (ต่างกรรมต่างวาระ) ว่าไทยรักษาชาติต้องรับผิดชอบ

“ล่าสุดมีความเป็นไปได้ว่าจากกรณีดังกล่าวอาจจะทำให้พรรคไทยรักษาชาติ รวมไปถึงพรรคเพื่อไทยถูกยุบพรรคได้” บทความในคมชัดลึกเมื่อวาน (๑๐ ก.พ.) ฟันธง “เพราะเขาพลาดเอง พรรคไทยรักษาชาติพลาด และหากสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของพรรคไทยรักษาชาติกับพรรคเพื่อไทยได้ ก็สามารถยุบพรรคได้ทั้งคู่”

จากนั้นฟันต่อ “จากพฤติการณ์ที่ผ่านมาของพรรคไทยรักษาชาติกับพรรคเพื่อไทยสามารถโยงว่ามีความเกี่ยวข้องกันได้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่มาในการตั้งพรรค รวมไปถึงลักษณะการส่งผู้สมัครของทั้งสองพรรคที่น่าจะเข้าข่ายว่าฮั้วกัน และการเชื่อมโยงกับอดีตนายกทักษิณ”


นั่นยังเป็นเรื่อง ซ.ต.พ. (ซึ่งต้องพิสูจน์) หลังจากที่ กกต. ประชุมวันนี้ตั้งแต่สิบโมงเช้า สื่อเครือเนชั่นที่เคยฟันไว้ว่า “ระวังตัวกันดีๆ...จะไม่มีที่ซุกหัวนอน” ทำท่ารู้ลึกว่า กกต.จะใช้มาตรา ๙๒ (๒) กรณี “กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

อ้างว่า “กระทำความผิดสำเร็จแล้ว” เสียด้วย แต่การนี้น่าจะไม่คมและไม่ชัด เพราะเถียงได้ว่าถ้างั้น ทูลกระหม่อมก็ต้องสมรู้กับการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์นี้ด้วย อีกทั้ง กกต. ก็สมรู้เช่นกัน เพราะรับใบแจ้งจดว่าถูกต้องไปแล้ว
ข้อกฎหมายที่ อาจจะ(ขออนุญาตใช้คำของ Yugala) นำมาฟันได้ น่าจะเป็น พรบ.การเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา ๑๓๓ วรรคสาม ที่ว่า “หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ได้ยับยั้ง กรณีที่มีผู้สมัครทำให้การเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม”

เพราะ ผู้สมัครกระทำผิด พระบรมราชโองการย้อนหลัง คือจดแจ้งเสนอตัวทางการเมืองในตอนเช้า โดยรู้เท่าไม่ถึงการว่าตอนค่ำมีโองการบอกว่าเป็น เชื้อพระวงศ์ใกล้ชิด

(ดูรายละเอียดเกี่ยวกับ ข้อกฎหมาย สามารถยุบพรรคการเมืองได้ ๒๑ วิธี ที่ https://ilaw.or.th/node/5143)

ตานี้เกิดมี ลัทธิแก้(เวลาบ่ายโมงวันที่ ๑๑ ก.พ.เช่นกัน) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ อดีตทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย “จะไปยื่นให้ กกต. พิจารณาไม่ให้ประกาศรายชื่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคพลังประชารัฐ”

เรืองไกรอ้างข้อกฎหมายสองประเด็น หนึ่ง การเสนอชื่อประยุทธ์ผิดระเบียบข้อ ๙๑ (๑) ซึ่งจะเสนอชื่อได้ต้องให้เจ้าตัวยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร (แบบที่ ทูลกระหม่อม ส่งให้พรรค ทษช.ตั้งแต่ปลายมกรา เพื่อไปยื่น กกต. ๘ กุมภา)

อีกประเด็น ประยุทธ์ “ยังอาจเป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(6) ประกอบมาตรา 98(3) (12) และ (15) อีกด้วย” อันนี้ตามข่าวที่ ผู้จัดการออนไลน์ เสนอ

เหตุผลที่ผู้ร้องใช้สนับสนุน ได้แก่ ๑. ประยุทธ์เป็นเจ้าของสื่อมวลชน ออนไลน์ หลายชนิด มีผิดตามข้อห้ามมาตรา ๙๘ (๓) และ ๒.ประยุทธ์ยังเป็นหัวหน้า คสช. มีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินเดือน ๑๒๕,๕๙๐ บาท มาจะห้าปีเข้านี่แล้ว

นั่นถือว่าขัดต่อระเบียบกฎหมาย “มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(6) ประกอบมาตรา 98(3) (12) และ (15)

ซึ่งโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 วรรคสอง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น”


มันเยิ้มละทีนี้ ไม่ว่า กกต.จะวินิจฉัยออกมาได้ในทางใด ต้องยอมรับว่าเก่งกาจลดเลี้ยวเขี้ยวขอจริงๆ ยิ่งกว่าศรีธนญชัย