วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 15, 2562

ความเห็นทางกฎหมายต่อพระราชโองการ วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ จาก สาวตรี สุขศรี อดีตคณะนิติราษฎร์

สาวตรี สุขศรี แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นในทางกฎหมายเกี่ยวกับพระราชโองการ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ที่ระบุว่า “พระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย

และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นั้น

หนึ่งในสมาชิกอดีตคณะนิติราษฎร์ กล่าวว่า “บทบัญญัติที่จะเป็นกฎหมายได้ต้องยึดถือตามระบบกฎหมายของประเทศ ซึ่งของไทยเป็นระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ออกกฎหมาย หรือฝ่ายบริหารในกรณีพระราชกำหนด หรือฝ่ายปกครองในกรณีของกฎหมายลำดับรองต่างๆ ที่กฎหมายแม่ให้อำนาจเอาไว้

ดังนั้น พระราชโองการที่ออกมาจึงมิใช่กฎหมาย เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติใดๆ ทั้งสิ้น” อีกทั้ง

“โดยเนื้อหาของพระราชโองการก็ไม่ใช่การสั่ง แต่เป็นการให้คำแนะนำ แม้ช่วงท้ายๆ ที่เหมือนจะตีความ ขยายความรัฐธรรมนูญออกไป แต่โดยภาพรวมไม่ได้มีคำสั่งที่ชัดเจนให้มีผลในทางกฎหมายใดๆ เลย”

อาจารย์สาวตรียังเสนอข้อคิดส่วนตัวด้วยว่า “ถ้าสุดท้ายทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ตัดสินใจเป็นแคนดิเดตนายกฯ ต่อก็สามารถทำได้ เพราะไม่ได้มีรัฐธรรมนูญห้ามไว้ เพราะฉะนั้นกรณีนี้จึงเป็นพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์เท่านั้น”

แต่ดูเหมือนว่าพระราชโองการนี้ได้รับการปฏิบัติต่อเยี่ยงกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อ กกต.ลงมติว่า การเสนอให้ทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ มหิดล เป็นแคนดิเดทในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยรักษาชาติ เป็นความผิดฐานปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ จึงส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ทษช.แล้วนั้น

สาวตรีชี้ว่า “ต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนำพระราชโองการเป็นข้ออ้างในการวินิจฉัยหรือไม่ แต่ในเชิงหลักการ พระราชโองการไม่มีผลใดๆ ในทางกฎหมายที่จะบังคับให้ใครต้องทำสิ่งใด” ในเมื่อระบบกฎหมายไทยเป็นแบบลายลักษณ์อักษร ไม่ใช่ตามจารีตประเพณี

“ต่อให้ศาลตีความออกมามีเหตุผลดีเพียงใด สิ่งนั้นก็ไม่มีผลบังคับใช้ในทางกฎหมาย เป็นเพียงการตีความขององค์กรตามรัฐธรรมนูญองค์กรหนึ่งเท่านั้นเอง...ถ้าเทียบแบบเดียวกัน พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชวินิจฉัยส่วนพระองค์แบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่กฎหมายที่สามารถขยายความตัวบทออกมาได้”

เกี่ยวกับหลัก พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองอันมีการเทียบเคียงกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๖ ที่ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”

สาวตรีอธิบายว่า มาจากหลักการ ‘The king can do no wrong’ คือ “การที่พระมหากษัตริย์ไม่ทำสิ่งใดผิด ก็เพราะพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใด” หมายถึงการใช้พระราชอำนาจของพระองค์ “ต้องมีผู้รับสนองพระราชโองการผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ”

ดังนั้น เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงทำอะไรที่ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจทางปกครองผ่าน ๓ องค์กรดังกล่าว (เพื่อให้เป็นผู้รับผิดชอบ) “เมื่อทำไปแล้วจะไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของมาตรา ๖” อัน เป็นคนละเรื่องกัน กับหลักการที่อยู่เบื้องหลังประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒

ในเมื่อมาตรา ๑๑๒ “เป็นเรื่องกฎหมายอาญาที่คุ้มครองชื่อเสียง พระเกียรติยศในทุกๆ ด้านของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการ” เท่านั้น อย่างไรก็ดีสาวตรียอมรับว่า “ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา

ก็มีโอกาสที่ศาลจะตีความขยายออกไปเช่นนั้น...ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้องในเชิงหลักการ ถ้ามีการวินิจฉัยแบบนี้ออกมาก็ต้องมีการเห็นแย้ง เพราะตัวบทเขียนไว้ชัดเจน”

(https://prachatai.com/journal/2019/02/81039)