บ้างว่า สนช.มีแผนผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงดจิทัลอย่างรัวๆ
๑๐+๓ ฉบับ ตั้งแต่ต้นปี ๕๘ มาแล้ว ถึงตอนนี้ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
มีสองฉบับสำคัญที่ต้องเร่งอนุมัติให้ทันก่อนหมดอายุขัย ก็คือกฎหมายเกี่ยวกับโรงงาน
กับ กม.ความมั่นคงไซเบอร์
ส่วนกฎหมายพันธุ์ข้าวพับไปเมื่อวานนี้
ตามข้ออ้างของ สนช.คนดังรายหนึ่ง กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ที่ว่า “ตนได้หารือกับทีมงานแล้ว
เห็นว่าเมื่อสังคมยังไม่สบายใจ ไม่เข้าใจในตัวร่าง พ.ร.บ.ข้าว
อาจเกิดเหตุเข้าใจผิด จึงขอเลื่อนการพิจารณาออกไปอย่างไม่มีกำหนด”
กับที่ยกข้ออ้างว่า “ผ่านก็มีปัญหาไม่ผ่านก็มีปัญหา...เมื่อยังไม่เข้าใจก็ขอยุติดีกว่า”
น่าจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง เพราะในบรรดาคนที่ค้านส่วนหนึ่งมาจากพรรคพลังประชารัฐ
จากการพูดหาเสียงของ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์เมื่อสองสามวันก่อน ย่อมแสดงว่า คสช.
ถอดใจ
พอมาถึง พรบ.โรงงาน ผ่านฉลุย ๑๔๒ เสียงรูด
โดยหัวหน้า คสช. ไม่ยอมให้เปิดเผยชื่อ สนช.ที่โหวตให้ร่างฯ นี้
ประยุทธ์ถึงกับเอามาบ่นอกสื่อว่าขืนเปิด ‘อันตราย’
ไม่รู้ว่าอันตรายอย่างไร จะเหมือนกับที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุววณ
ไม่ยอมเปิดเผยชื่อกรรมการสรรหา สว. ไหมนี่
กระนั้นก็ดี รายชื่อกรรมการสรรหาร่วมคณะเฮียป้อมหลุดออกมาแล้ว
๖ นาย เต็มไปด้วยนายพลจากขุมกำลังรัฐประหาร เช่น พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ พล.ร.อ.ณรงค์
พิพ้ฒนาศัย พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว
อีกสองคนพลเรือนแต่เป็นกำลังสำคัญในการยึดอำนาจทางกฎหมาย
ชนิดที่ยึดยาวอย่างน้อยๆ ๒๕ ปี ได้แก่ วิษณุ เครืองาม และ มีชัย ฤชุพันธุ์
รายหลังนี่หมู่นี้ทำออดอ้อนตอนใกล้จะเปลี่ยนผ่านจากการเลือกตั้ง
ไปพูดในงานเสวนาที่บางกรวยว่า
“ตนเป็นคนที่เคราะห์ร้ายที่สุด
เพราะเข้ามาทำหน้าที่ออกแบบให้กับกติกาบ้านเมืองในระยะเวลาที่ความคิดเห็นแตกต่าง
ยากที่ทำให้ทุกฝ่ายพอใจ” เขาเปรยว่าที่เขียนรัฐธรรมนูญให้มีปฏิรูประบบราชการ “แต่ไม่ได้พูดถึงเราจะต้องปฏิรูปทัศนคติของข้าราชการ”
(https://www.matichon.co.th/politics/news_49790, https://www.matichon.co.th/politics/news_1380678, https://www.thairath.co.th/content/1506358)
กฎหมายอีกฉบับที่
สนช.เร่งเสกออกมาให้ประยุทธ์เก็บไปใช้ตอนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง คือ
พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์ ที่ภาคประชาชนรวมตัวกันต้านอย่างหนักหน่วง ดังที่ ‘thapanee ietsrichai @thapanee3miti’ รายงานไว้
งานรวมพลเครือข่ายภาคประชาชน
นักศึกษา ชาวนา กรรมกรพร้อมกัน #หน้าวัดเบญจมบพิตร
(เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้จัดการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อ ๒๗ กุมภา)
เพื่อเรียกร้องให้ สนช. ยุติกระบวนการปั๊มกฎหมาย ปล่อยให้รัฐบาลหน้าทำบ้างได้แล้ว ก็เจอกับกำลังตำรวจสองกองร้อยจัดแถวยืนเผชิญหน้า
ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นที่วิพากษ์ต่อเนื่องกันมานมนานแล้วว่าริดรอนสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน
ดังสรุปของนักรบไซเบอร์ผู้หนึ่งว่าไว้จังๆ “#พรบไซเบอร์
ถูกเขียนโดยคนไม่กี่คนและถามความเห็นจากคนไม่กี่คนในสภา
แล้วอ้างว่าที่ทำไปเพื่อความมั่นคงของชาติ
“ซึ่งจริงๆ แล้วทำไปเพราะระแวง
กลัวการวิจารณ์และการเห็นต่างของประชาชน
และพยายามจะปิดหูปิดตาประชาชนให้อยู่แต่ในกะลา” นั่นต่างหาก ซึ่งย้อนไปเมื่อต้นปี
๕๘ ประยุทธ์เคยออกอาการ ‘ฉุน’ เมื่อถูกสื่อถามถึงเหตุผล
ตอนนั้นประยุทธ์พูดย้อนร้อนแรงว่า “จะผ่าน
แล้วจะทำไม ไม่งั้นจะเป็นนายกฯไปทำไม” ตอนนี้ไม่พูดแรงเท่าตอนนั้น
แต่หนักกว่าในลักษณะของการวางอำนาจ และอ้างอาญาสิทธิ์อย่างน้ำขุ่นๆ
ต่อกรณีการแต่งตั้ง สว. ๒๐๐ คน
บวกกับที่เลือกจากรายชื่อผู้สมัครที่ผ่านการคัดสรรอีก ๕๐ คน
ดังที่มีเสียงตำหนิว่า “คสช.เลือก
สว.เพื่อกลับมาเลือก คสช. เป็นนายกฯ” นั้นประยุทธ์อ้างประชาชน ๑๖ ล้านโหวตเห็นชอบรัฐธรรมนูญมา
ถือว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วละ
แต่ระหว่างกระบวนการโหวตประชามติ คสช.
จำกัดสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ตัวบท ชมไม่เป็นไร ถ้าติโดนจับไปปรับทัศนคติ
เช่นนี้จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไรกัน