วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 25, 2562

เหตุแก๊งขาโจ๋เพื่อนนาคอาละวาด 'วัดสิงห์' "จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากกฏบัตรกฎหมายเสื่อมคุณค่า"


เหตุการณ์ที่ วัดสิงห์ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทยยุคนี้ เราได้เห็นกันมาแล้วบ่อยๆ กับการถืออำนาจบาตรใหญ่ พฤติกรรมนักเลง ในช่วงที่คณะรัฐประหารครองเมืองนี่แหละ ครั้งนี้น่าจะเบากว่าด้วยซ้ำที่ไม่มีการคอขาดบาดตายเกิดขึ้น

จึงเป็นการยืนยันได้ว่าที่ฝ่ายสนับสนุน คสช.บอก กวักมือเรียกทหารมาแล้วทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย นั้นไม่จริง สงบก็แต่ที่ไม่มีการชุมนุมต่อต้านคณะทหารผู้ปกครองเท่านั้น เสียงก่นด่ากันยังคงมีอยู่ทั้งต่อ คสช. และ/หรือต่อ ระบอบทักษิณ

หากแต่ว่ากับฝ่ายหลังนี่จำกัดอยู่ในแวดวงที่แคบลงไปกว่าเมื่อก่อนรัฐประหาร เพิ่งมาฮือฮากันอีกก็ต่อเมื่อมีทางสายที่สามของกลุ่มคนรุ่นใหม่ทำท่าจะขึ้นมาแทนที่ ในฐานะที่ไม่เอาแนวทาง คสช. อย่างแข็งขันยิ่งกว่า และดูน่าจะไปกันได้กับระบอบก่อนรัฐประหาร ด้วยการมีศรัทธาในแฮ้สแท็ก #ประชาธิปไตย เหมือนกัน

ใครที่ถามย้อนว่าในเมื่อเป็นยุคของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแล้วไฉนยังมีนักเลงหัวไม้ออกฤทธิ์กันบ่อยๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงตอบได้ว่าก็เพราะนักเลงเหล่านั้นทหารเลี้ยง ตำรวจขุน แต่ในยุค คสช.นี่ พวกหัวไม้ที่ทหาร-ตำรวจคุม ค่อนข้างจะอยู่ในแถว

พวกที่แตกแถวอย่าง #แก๊งบางบอน ซึ่งก่อเหตุชั่วช้าไล่ทำร้ายต่อยตีครู นักเรียน และผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสิงห์ เขตบางขุนเทียน เพียงเพราะถูกเตือนให้เบาเสียงอึกทึกแห่แหนในงานบวชของพวกตน ขณะนักเรียนกำลังสอบ จีเอที/พีเอทีกันอยู่
 
กลุ่มนักเลง ขาโจ๋ เหล่านั้น (ราว ๒๐ คน) ถูกก่นด่าสาปแช่งในสังคมอย่างหนักในขณะนี้ ไม่เพียงเพราะพวกเขามี สันดานอันกักขฬะต่ำช้า ปราศจากความละอายอย่างสิ้นเชิงต่อการกระทำที่สังคมประณาม เห็นได้จากการแสดงอาการ ยิ่งกร่าง (ผ่านทางโซเชียลมีเดีย) หลังจากเกิดเหตุ

จากภาพที่พวกเขาบางคนโพสต์บนเฟชบุ๊คชูนิ้วกลาง พร้อมข้อความกำกับ “ก็มาดิคับ งานบวชพี่ชาย” หรืออีกข้อความโต้แย้งหลังจากที่มีการตำหนิการกระทำที่วัดสิงห์ อ้างว่าพวกตนทำตามประเพณี “อ.เสือกปากหมา มึงจะต้องใช้สมาธิขนาดนั้นเลยเหรอ”

มิใยตำรวจซึ่งไปตรวจที่เกิดเหตุเบื้องต้นได้ปล่อยตัวคนร้าย ไล่กลับบ้าน อ้างว่า “เพราะไม่ใช่เหตุซึ่งหน้า” ทั้งที่สภาพห้องเรียนเห็นได้ชัดว่าถูกบุกรุก ทีวีหล่นลงพื้น ชุดน้ำตกจำลองพัง โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด ภายหลังทราบว่ามีผู้บาดเจ็บ ๑๕ ราย เป็นชาย ๑๓ หญิง ๒

ผู้บาดเจ็บมีผู้อำนวยการ ครูพละ ยาม และนักเรียน เหตุที่เกิดชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นการ “บุกรุกสถานที่ราชการ ทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกาย” ตามข้อหา จะปฏิเสธอย่างไรไม่พ้นได้ง่ายในเมื่อพยานหลักฐานมากมาย ดังคำให้การของนักเรียนหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์สองคน
 
คนหนึ่งเล่าว่า เพื่อนนักเรียนชายถูกทำร้ายต่อหน้านอนกองอยู่กับพื้น เธอพยายามจะเข้าไปช่วยก็ถูกคนร้ายที่ห้อมล้อมอยู่หนึ่งในสี่ห้าคนผลักไปติดข้างฝาแล้ว “หอมแก้ม” และ “จับมือ” แถม “เค้าก็บอกหนูว่าไปเป็นเมียเขาไหม นี่เดี๋ยวเรื่องจบเลย...ไปถามคนแถวบางบอนได้เลยว่ารู้จักเขาไหม”

ครั้นเมื่อคนเหล่านั้นไปรายงานตัวต่อตำรวจตอนบ่ายวันที่ ๒๔ ก.พ. รายงานข่าวแจ้งว่า “แก๊งงานบวชยังระรื่น ให้การตำรวจไม่สลด ยืนยันไม่ได้ทำร้ายใคร ลั่นครูล้มเจ็บเอง” บ้างอ้างว่า “เมียผมเลี้ยงลูกคนเดียว​ ถ้าติดคุกใครจะดูลูกผม” อีกคนขอนักข่าว “อย่าถ่ายหน้าผมได้มั้ย พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงาน”

สาเหตุหนึ่งที่กลุ่มนักเลงเพื่อนนาคอาละวาดขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะ “สับสนว่าทำไมวันอาทิตย์โรงเรียนยังมีการสอบเพราะน่าจะเป็นวันหยุด พร้อมถามสอบ GAT/PAT คืออะไร” ดังอ้างแน่ๆ ในเมื่อมีทั้งคลิปและคำบอกเล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า

ตัวหัวโจกพูดว่า “ถ้าเพื่อนกูไม่ได้บวชพวกมึงก็ไม่ต้องสอบ” หรือตามรายงานของ ไทยรัฐ ชี้ “เกิดจากกลุ่มเพื่อนของนาคไม่พอใจ เนื่องจากจ้างวงดนตรีมาแพง (สองหมื่นบาท) ประกอบกับอยู่ในอาการมึนเมา”


เหตุที่พฤติกรรมเลวร้ายในสังคมไทยผุดขึ้นมาบ่อยๆ ในยุค คสช. จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากกฏบัตรกฎหมายเสื่อมคุณค่า การที่ คสช. และตุลาการ (ที่ดูเหมือนส่วนใหญ่จะเป็นพวกเกลียดระบอบทักษิณ) บังคับใช้กฎหมายอย่างลำเอียงมาตลอดเวลาเกือบจะ ๕ ปี

คดีเสือดำ นาฬิกาหรู หมู่บ้านป่าแหว่ง พนักงาน คตส. ฯลฯ ที่ประชาชนทั่วไปไม่จำกัดเหลืองหรือแดง ได้เห็นการตัดสินคดีความอย่างลำเอียง หรือเลี่ยงบาลีหลักนิติธรรม ทำให้พวกนักเลงหัวไม้ได้ใจ โดยเฉพาะพวกที่มีปลอกคอ จะแสดงกิริยาไม่ยี่หระ หัวร่อรื่นเริงในการไปฟังข้อกล่าวหา

มันสะท้อนไปถึงระดับมหภาค ที่มีการอ้างกฎหมายฉบับเดียวกันบังคับต่อผู้ต้องหาไม่เหมือนกัน ดังคำอธิบายปรากฏการณ์ของ ระบอบแห่งการรัฐประหารโดยอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในการเสวนา ๔๐ ปีนิติปรัชญา เหลียวหลังแลหน้านิติศาสตร์ไทยเมื่อ ๒๔ ก.พ. ถึงสภาพการณ์อันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่เหนือระบอบดังกล่าว
 
“ตอนนี้โดยระบบของเรา มันกำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่กฎหมาย แต่มีผลเสมือนเป็นกฎหมาย หรือยิ่งกว่ากฎหมาย ที่เกิดขึ้นมาคู่ขนานกันในแง่การใช้กฎหมายในทางเป็นจริง” ทั้งนี้เนื่องมาจาก “การตีความเรื่องประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไม่ได้ใช้จากเกณฑ์ในแง่ความเป็นกฎหมาย”


ปัญหาอยู่ที่การนำเอาประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติมาใช้ตีความกฎหมาย โดยไม่ได้ปรับให้เป็นตัวบทกฎหมายโดยกรรมวิธีทางนิติรัฐและนิติธรรมเสียก่อน แต่ยอมรับและบังคับใช้เยี่ยงกฎหมาย 

เช่นนี้นี่เองที่มีการวินิจฉัยและบังคับใช้กฎหมายกรณีแบบเดียวกันเป็นคุณหรือโทษต่างกัน ขึ้นอยู่กับผู้ต้องหา