วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 24, 2562

“ผมว่าเราไม่แพ้ครับ” ช่วงเลือกตั้งนี่ "ดีเบทรุมกระทืบเผด็จการทหาร" เปิดโปง "ตัวดีที่โกง" และ "คสช.ไม่แยแสประชาชน"

“ผมว่าเราไม่แพ้ครับ” อานนท์ นำภา ประกาศกล้าทางเฟชบุ๊คเมื่อวาน (๒๓ ก.พ.) “กระแสนิยมคนรุ่นใหม่ต่ออนาคตใหม่กำลังมา ในขณะที่ต่างจังหวัดเสื้อแดงยังเหนียวแน่น” ทนายน้อยมั่นใจในเหตุผลที่ว่า

ทุกรายการดีเบทกำลังรุมกระทืบเผด็จการทหารผ่านฟรีทีวี ไม่เว้นแม้แต่ ปชป. ยังเอาด้วย” เขาคงหมายถึงการดีเบททางทีวีช่อง ๗ เมื่อ ๒๑ ก.พ. ที่มี วีระ ธีรภัทร และ อรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล เป็นผู้ดำเนินรายการ

ประมาณใกล้จะถึงนาฑีที่ ๙ วีระถาม กอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพลังประชารัฐว่า พปชร.มีต้นทุน สว. ๒๕๐ คนไว้โหวตเลือกตัวนายกรัฐมนตรีแล้วใช่ไหม กอบศักดิ์ไม่ตอบตรงๆ แต่เลี่ยงไปว่า

ผมบอกเลยครับว่า ที่เขาชอบพูดกันในหนังสือพิมพ์หรือการ์ตูน มี ๑๒๖ คนบวก ๒๕๐ คน เลือกนายกฯ ได้ ถ้ารัฐบาลมี ส.ส. แค่ ๑๒๖ คน แค่เสนอนโยบายก็ไม่ผ่านแล้ว” ซึ่งวีระย้ำอีกว่าคำถามคือ มีสำรอง ๒๕๐ อยุ่ในสต็อคแล้วน่ะจริงไหม

คำตอบต่อไปของกอบศักดิ์กลายเป็นมุขตลกทำให้ผู้ร่วมดีเบทอีกสามคนต่างกลั้นยิ้มและหัวเราะกันไว้ไม่อยู่ “ผมไม่คิดว่าตรงนั้นมีประเด็นสำคัญ” กลายเป็นการ ถามไม่ตรงคำตอบ ไปเสียฉิบ
 
ท่ามกลางเทร็นด์การเมือง ออนไลน์วันนี้ ที่เหเข้าหาเรื่องโภชนาการ มีการแท็ก การแชร์ สโลแกน “ไมโลไม่กิน โอวัลตินไม่แดก” กันชักจะเกร่อ ตามมาด้วยภาพ “ราดน้ำข้าวหมูแดงที่วงเวียนใหญ่” ก็ถูกเอามาประโคมด้วยเหมือนกัน

จะบอกว่าความเอือมระอาต่อการเอาเปรียบต่อการดึงดันอย่างด้านๆ ของ คสช.และลิ่วล้อ เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นผงซักฟอกขาวทางการเมืองให้แก่การครองอำนาจต่อไปของ คสช. ได้แผ่สร้านไปแล้วเกือบทุกหัวระแหง

ดูอย่าง ไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำอีสาน กู้ชาติกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ที่เมื่อไม่นานมานี้เองเคยวิจารณ์การบังเกิดของพรรคอนาคตใหม่ว่าเป็น “พวก NGOs หัวสี่เหลี่ยม” (ดู https://www.thaipost.net/main/detail/22513)

อุตส่าห์พยายามไล่ทวี้ตสิบกว่าครั้ง เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าการที่พลังประชารัฐเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นั้นผิดทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบ ด้วยข้อหาประยุทธ์เป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับการเป็นแคนดิเดท

เหตุผลหลักของเขาก็คือ ประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช. ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดิน มีฐานะเป็น เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตาม พรบ.ศาลปกครอง มาตรา () และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ /๒๕๔๓ ที่ รธน.ห้ามไว้ในมาตรา ๑๖๐(๖) โดยลักษณะต้องห้ามดังกล่าวระบุอยู่ใน ม.๙๘

ไทกรบอกว่า “กกต. อย่ามาถามหาหลักฐาน หรือแถลงว่าไม่ปรากฏหลักฐานในเรื่องการเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ” ของประยุทธ์ “เพราะหลักฐานปรากฎอยู่อย่างทนโท่ นอกจากพวกท่านจงใจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ จึงไม่ยอมวินิจฉัยเรื่องนี้โดยเร็ว

นั่นก็เป็นข้อกล่าวหาน่าคิดอย่างยิ่งต่อ กกต. หากการร้องเรียนต่างๆ ไปจุดติดเอาตอนเลือกตั้งเสร็จแล้ว พรรคพลังประชารัฐและพวกได้จำนวน ส.ส.รวมกันไม่ถึงร้อย จะกลายเป็นเหตุแผ่นดินไหวกระดานโคลงเคลง จนต้องมีการตั้งรัฐบาลสไตล์ ราบ ๑๑อีก
 
ดังที่ พงษ์เทพ เทพกาญจนา เหน็บไว้ในการปราศรัยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่เกาะหลัก ประจวบคีรีขันธุ์ ว่า “มีพรรคการเมืองใหญ่บางพรรคเป็นพรรค อีแอบต้องการหนุนการสืบทอดอำนาจ ไม่กล้าหาเสียงบอกว่าจะหนุนพล.อ.ประยุทธ์ เพราะกลัวประชาชนไม่เลือก ทั้งที่วางแผนเพื่อต้องการจะไปเข้าร่วมรัฐบาล”

(ดูรายละเอียดคำปราศรัยที่ https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_172993)

ทางด้าน กกต.นั้นเองเล่า ก็ออกอาการอย่างว่าเสียด้วย ยื้อเวลาที่จะให้ประยุทธ์ยังเป็นแคนดิเดทนายกฯ ของพลังประชารัฐต่อไป ขณะที่ใช้อำนาจหัวหน้า คสช. สร้างค่าให้กับตนเองรอไว้รองรับเมื่อการสถาปนาสืบเนื่องอำนาจมาถึง

นายแสวง บุญมี รองเลขาฯ กกต. เลี่ยงที่จะตอบข้อซักถามเกี่ยวกับคดียุบพรรคการเมืองว่าไม่เห็นเอกสารคำร้อง แต่เรื่องคำร้องคัดค้านการเป็นแคนดิเดทนายกฯ ของประยุทธ์นั้น แค่ยังอยู่ในขั้นพิจารณาของ กกต. ไม่แจ้งความคืบหน้าอย่างใด

 
อีกทั้งข้อกล่าวหา “ทหารนั่นละตัวดีที่โกง” กับ “คสช.ไม่แยแสภาคประชาชน” มีตัวอย่างผุดออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ขนาดข่าว สปริงนิวส์ยังกล้าแฉว่า พลเอก (อารียะ อุโฆษกิจ) อดีตผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง รุกป่าเพชรบูรณ์


ขณะที่วันเดียวกัน พลิกปมข่าว ThaiPBS รายงานว่า “สนช. #ผ่านฉลุย ร่่าง พ.ร.บ. โรงงาน เมินเสียงคัดค้านภาคประชาชน...ที่ให้คำนึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจจะตามมาจนเกินเยียวยา” โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ มีการแก้ไขนิยามของคำว่า โรงงาน ใน พรบ.ฉบับใหม่

“ซึ่งจะทำให้อาคาร สถานที่ หรือพาหนะที่ใช้เครื่องจักรขนาดต่ำกว่า ๕๐ แรงม้า หรือกิจการที่มีคนงานน้อยกว่า ๕๐ คนลงไป #ไม่เข้าข่าย การควบคุมของ พ.ร.บ. โรงงานฉบับใหม่” อันเป็นทางให้เกิดการลักลอบทิ้งของเสีย และสร้างอาคารโรงงานที่ลุกล้ำและก่อความเสียหายแก่ชุมชน


ทั้งที่ทางการและหน่วยงานองคาพยพของ คสช. ยังตั้งหน้าผลักดันแผนครองอำนาจต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง นับว่าช่วงช่องว่างทางอำนาจเผด็จการระหว่างหาเสียงเลือกตั้งนี้ แม้จะแค่ครึ่งๆ กลางๆ ก็ยังดีที่เป็นโอกาสเปิดโปงความชั่วร้ายของคณะทหารผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จให้ประชาชนทั่วไปได้รู้เห็น