วันจันทร์, พฤศจิกายน 05, 2561

สูงสุดสู่ติดลบ เมื่อ “อีเว้นท์” กลายเป็น “อีเวร” ไปซะได้ วิบากกรรมคนทรยศอุดมการณ์ บทเรียน “ลุงเทือก” ถึง “ลุงตู่”






https://amp.mgronline.com/daily/9610000109302.html?__twitter_impression=true


ชัดๆ กับสภาพของ “อดีตลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้ง พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ในวันนี้ ที่ “หมดรูป-หมดราคา” ชนิดดูไม่ได้ หลังงัด “มุกเก่า” สมัยฟีเวอร์เป็น “ฮีโร่”โค่น “รัฐบาลทรราช”

จัดอีเว้นท์ “เดินคารวะแผ่นดิน” ย่ำเท้าตระเวนเชิญชวนคนมาร่วมสมัครสมาชิกพรรค รปช. หรือ “พรรคกำนัน” ที่ใครก็ดูออกว่า “หาเสียง” แบบ “เลี่ยงบาลี” อุตส่าห์วางเส้นทางย้อนรอย “ความยิ่งใหญ่” สมัยทำ “ม็อบ กปปส.” ประเดิมเจาะใจกลางเมือง กทม. ตั้งแต่ปากคลองตลาด-สำเพ็ง-ศาลาฯกทม.-ราชดำเนิน-บางรัก-เจริญกรุง-สุขุมวิท-สีลม” เป็นเวลาร่วมสัปดาห์

ทว่า “อีเว้นท์” กลายเป็น “อีเวร” ไปซะได้

เมื่อบรรยากาศ “เดินคารวะแผ่นดิน” แตกต่างจากสมัยเป็น “ลุงกำนัน” แบบ “หน้ามือ” กับ “หลังเท้า” พูดได้ไม่ผิดว่า “สุเทพ” ยัง “หลงเงาตัวเอง” นึกคะนองว่ายังเป็น “ลุงกำนัน” เลขาธิการ กปปส. เมื่อ 5 ปีก่อน ที่ไปไหนมาไหนคนแห่แหนมาต้อนรับ รุมทึ้งรุมกอดราวกับ “เซเลปฯ - ซุปตาร์”

แต่มาวันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว

ถึงขนาดที่มีบางคนยกคำของ อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ 16 และรัฐบุรุษของสหรัฐอเมริกา ที่ว่า “คุณอาจจะหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา คุณอาจจะหลอกคนบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณไม่สามารถหลอกคนทุกคนได้ตลอดเวลาหรอก” ขึ้นมาเตือนสติ “ลุงสุเทพ” เลยทีเดียว

ก็ด้วยผลพวงจาก “การกระทำ-จุดยืน” ของ “สุเทพ” เอง ที่ไม่เหมือนเดิม จนไม่รู้ว่าไปหลงลืมธง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ที่เคยแผดเสียงลั่นเวทีชุมนุม กปปส.ไว้ที่ไหน

วาทกรรมสวยหรูที่ว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ความหมายที่ไม่ต้องตีความให้วุ่น การเมืองแบบเดิมๆมันไปไม่รอด ต้องมีการปฏิรูปเสียก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง

แต่ตลอด 4 ปีกว่าภายใต้การปกครองของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลับไร้ท่าทีกดดันใดๆจาก “อดีตเลขาธิการ กปปส.” ที่จะทวงถาม “วาระปฏิรูป” แต่อย่างใด แล้วยังก้มหน้าก้มตาสนับสนุน “รัฐบาลทหาร” แบบไร้เงื่อนไข เหมือนดั่งคำพูดคุ้นหู “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน”

ทั้งที่หลายต่อหลายเรื่องก็ไม่ต่าง หรืออาจจะเลวร้ายกว่า “รัฐบาลก่อน” ด้วยซ้ำ

ไม่ใช่แค่เห็นดีเห็นงาม ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก กลับยัง “ตระบัดสัตย์” ตั้งพรรคมุ่งสู่ถนนสายการเมือง ทั้งที่เคยประกาศไว้เมื่อครั้ง “ห่มเหลือง” เป็น “พระสุเทพ ปภากโร” ว่าจะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีกต่อไป

“วาระปฏิรูป” ไปไม่ถึงไหน มาวันนี้กลับตาลปัตรจะมาชูธง “เลือกตั้งก่อนปฏิรูป” ซะอย่างนั้น นอกจากทรยศ “อุดมการณ์” ที่ไม่ค่อยจะมีของตัวเอง แล้วยังย่ำยี “วาระแห่งชาติ” ของ “มวลมหาประชาชน” เสียอีก

กลายเป็น “ตราบาป” นำมาซึ่งความล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัดในกิจกรรมการเมืองที่ให้ชื่อว่า “เดินคารวะแผ่นดิน” ที่บรรยากาศหลายจุดสุดจะวังเวง แม้ว่า “สุเทพ” จะพก “ความมั่นหน้า” เดินผ่านพื้นที่ไหน ก็ทักทาย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบไปทั่ว บางบ้านก็ทักตอบแบบเสียไม่ได้ แต่ก็มีหลายบ้าน-หลายคนที่แสดงท่าที “ไม่เป็นมิตร” หลีกเลี่ยงที่จะโอภาปราศรัยด้วย

ยิ่งพ่อค้าแม่ขายที่สาหัสสากรรจ์กับภาวะเศรษฐกิจเป็นทุน เจอทักถาม “ขายดีไหม-จำผมได้หรือเปล่า” พร้อมแยกเขี้ยว ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวให้ ก็ไม่วายที่อีกฝ่ายจะดึงหน้าบึ้งตึงเข้าใส่ ราวกับเห็น “ของแสลง”

นอกจากเมินเฉยไม่ให้ความสนใจกับ “คาราวานลุงกำนัน” แล้ว หนักเข้าก็มีการแสดงออกในทำนอง “ไม่เห็นด้วย” มีการตะโกนต่อว่าด่าทอ ตั้งคำถามแทงใจดำทำเอา “สุเทพ” พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ถือเป็นการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด หลงนึกว่า “ความป๊อปปูลาร์” เมื่อครั้งอดีตมาจากตัวตนของตัวเอง ทั้งที่ความเป็นจริงการต่อต้าน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” นั้นมันเป็น “ฉันทามติ” ของ “มวลมหาประชาชน” ที่ไม่เห็นด้วยกับ “นิรโทษกรรมสุดซอย” พ่วงโค่มล้ม “รัฐบาลทรราช-เผด็จการรัฐสภา” ไปในตัว

หาใช่ผลงานที่ “สุเทพ” จะมาเคลมเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว

อย่างไรเพื่อความเป็นธรรม ก็ต้องแยก “ปรากฎการณ์ยี้” ที่เกิดขึ้นในอีเว้นท์ของ “พรรคสุเทพ” ออกเป็น 2 ส่วน

หนึ่งคือ “ประชาชนส่วนใหญ่” ที่แสดงออก “อย่างเป็นธรรมชาติ” เพราะรู้สึกถูก “หักหลัง”จากผู้นำมวลชน กปปส. ตามที่ไล่เรียงไปแล้วข้างต้น ที่ไม่ว่า “สุเทพ” จะเดินไปไหนมาไหน ก็คล้าย“อากาศธาตุ” ทักทายผู้คน ก็ไร้สัญญาณตอบรับจากปลายทาง ไม่ต่างจาก “วิญญาณ” ที่คนมองไม่เห็น หรือเห็นก็ไม่อยากโอภาปราศรัยด้วย

หรืออย่าง “คุณลุงคนหนึ่ง” ที่เดินสวนกับขบวนแล้วตั้งคำถามแทงใจดำว่า ไหนบอกไม่ลงการเมือง ก็ได้คำตอบจาก “สุเทพ” ว่า “ผมไม่ลงสมัคร ผมไม่เอาตำแหน่งอะไร ผมช่วยเขาไง ถ้าเราไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยบ้านเมืองหล่ะใช่ไหม ประชาชนทุกคนเราก็ต้องช่วยกัน”





ก่อนจากไป “ลุงคนนั้น” ก็พูดเจือความเจ็บปวด “ผมเคยสนับสนุนคุณ แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นด้วย” ทำเอา “สุเทพ” หน้าเหวอตอบทันควันว่า “โอเค ไม่เป็นไร” ก่อนเดินหนีออกมา

เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ “อดีตแนวร่วม กปปส.” ที่ไม่เห็นด้วย-ไม่เผาผีกับ “สุเทพ” อีกต่อไป

รวมไปถึงกรณี “ห้างหรูย่านพร้อมพงษ์” ที่ไม่ไว้หน้า “อดีตลุงกำนัน” สั่งให้เจ้าหน้าที่บล็อกขบวนของ “สุเทพ” และ “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค ไม่ให้เข้าพื้นที่เด็ดขาด ทำเอาหัวขบวนอย่าง “สุเทพ” ต้องรับสภาพหน้าเจื่อนๆ ว่า “โอเค” แล้วก็เดินจากไปอย่างเหงาๆ

สองคือ “กลุ่มแอนตี้กำนัน” ที่ออกมา “ด่ารายวัน” ซึ่งอาจจะ “จัดตั้ง” ขึ้นโดย “กลุ่มอำนาจเก่า” อย่างที่ “สุเทพ” อ้างว่ามีความพยายามส่งคนมาป่วนการดำเนินกิจกรรมของพรรค รปช. ทั้งรายที่ตะโกนด่าทอหยาบคายหลายหนที่ย่านเยาวราช ซึ่งตามข่าวระบุว่าเป็น “คนเสื้อแดง”

มีทั้งกรณีที่ย่าน ถ.สีลม ที่ถูกคนตะโกนใส่หน้าว่า “โกหก” รวมทั้ง “หญิงนิรนาม” บริเวณหน้าโรงแรมแชงกรี-ลา ที่ตะโกนเสียงดังเหน็บแนมว่า “ไม่ห่มผ้าเหลืองมาเหรอคะ ไหนว่าจะบวชไม่สึก คิดว่าประชาชนโง่หรือคะ กินข้าวนะ ไม่ได้ กินหญ้า รู้ไว้ด้วย” ที่มีการออกมาเปิดเผยว่า หญิงรายนั้นเป็นแนวร่วมที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย

ชัดๆ คงเป็นรายของ “ชายหนุ่มสวมแว่นดำ” ที่มาดักรอหน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ พร้อมชูป้ายภาษาอังกฤษ “LIAR LIAR” ต่อหน้า “กำนันเทือก” ที่ได้ยกนิ้วโป้งให้ พร้อมถามว่า “เขาจ้างคุณมาเท่าไหร่” ก่อนได้รับคำตอบว่า “เปล่าครับ ผมเป็นประชาชนคนไทย อย่าหลอกลวงประชาชน อย่าเป็นไม้คำยันเผด็จการ”

จากนั้นก็มีการเปิดเผยว่า เป็น เอก อัตถากร หรือ “เอก แว่นดำ” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เคยบุกไป ชูป้าย “Respect My vote” พร้อมเป่านกหวีดไล่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กลางห้องประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2557 มาก่อน

ถือเป็นการงัดเอามาตรการที่ม็อบ กปปส.เคยใช้กับ “เครือข่ายทักษิณ” ในการตามคิดบุคคลสำคัญในเครือข่าย เพื่อแสดงออกถึงท่าทีในการต่อต้านทุกพื้นที่ เมื่อช่วงการชุมนุมปลายปี 2556 - 2557 มาย้อนศรเอาคืนกลับ “สุเทพ” บ้าง เรียกว่า “กรรมตามสนอง” ก็คงไม่ผิดเท่าไร

ไม่ว่าคนกลุ่มนี้จะเป็น “ขบวนการจัดตั้ง” หรือไม่ก็ตาม หากแต่สิ่งที่เขาเหล่านั้นแสดงออกมา ก็เสมือนหนึ่งนั่งอยู่ในใจ หรือพูดแทนคนไทยส่วนใหญ่ที่รับไม่ได้กับการตระบัดสัตย์ของ “สุเทพ”

แต่จะเหมารวมไปว่าเป็นแค่ “เกมการเมือง” ก็คงไม่ถูกนัก เพราะสิ่งที่พูดหรือแสดงออกมานั้นล้วนแล้วแต่มาจาก “ข้อเท็จจริง” และสิ่งที่ “สุเทพ” ทำจริงๆนั่นเอง

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้กระทบกับตัว “สุเทพ” คนเดียว ด้วยคนอื่นๆในพรรค รปช.ก็ถูกเหมารวมไปด้วย ทั้งรายของ “หม่อมเต่า” ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค รปช.ที่ถูกนำมาเป็น “หุ่นเชิด-ตัวประกอบ” ตลอดแคมเปญ

ด้วยตลอดเส้นทางความสนใจอยู่ที่ตัว “เทพเทือก” ที่ “ขโมยซีน” วางท่าเป็น “เจ้าของพรรค” ที่อยู่เหนือ “หม่อมเต่า” ผู้อาวุโสอย่างชัดเจน

ยังรวมไปถึงแนวร่วมพรรค รปช.รายอื่นๆ ทั้ง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ - ประสาร มฤคพิทักษ์ - สำราญ รอดเพชร หรือ สุริยะใส กตะศิลา ที่ทำท่าจะ “เจ๊ง” ไปด้วยกับ “กำนันเทือก” จน “ผู้หวังดี”อย่างอดีตประธานรัฐสภา อาทิตย์ อุไรรัตน์ แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวด้วยความห่วงใยว่า “คุณสุเทพ หม่อมเต่า อาจารย์เอนก อาจารย์สุริยะใส เลิกเถอะ อย่าทำต่อเลย ผมสงสาร คนเขาไม่เชื่อแล้ว”

ที่ต้องติดตาม แม้อีเว้นท์ “เดินคารวะแผ่นดิน” ในพื้นที่ กทม.ยังโดนสารพัดขนาดนี้ แล้วเป้าหมายการเดินสายทั่วประเทศ 77 จังหวัด จะโดนอีกขนาดไหน อ้างถึงขั้นโห่ฮา-เขวี้ยงขว้างสิ่งของต้อนรับก็เป็นได้

สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “สุเทพ” น่าจะเป็น “เครื่องเตือนสติ” ให้เห็น “อนิจจัง” ว่าอะไรๆก็ไม่มีความจีรังยั่งยืน โดยเฉพาะชื่อเสียง-การยอมรับจากคนในสังคม เคสของ “สุเทพ” ใช้เป็นกรณีศึกษาได้ดีจากนักการเมืองผู้ถูกมอบสมญา “จรกาหน้าดำ” กลายมาเป็น “ฮีโร่ของคนทั้งชาติ” ในเวลาชั่วข้ามคืน กับปฏิบัติการต่อต้าน “รัฐบาลระบบอบทักษิณ” จนฟีเวอร์ติดลมบน ชนิดใครก็ยอมรับนับถือเสียง “ลุงกำนันสู้ๆ” กระหึ่มประเทศ

ผ่านไปไม่นาน สูงสุดมาสู่ต่ำสุด และถึงขั้น “ติดลบ” ต่ำตมจมดิน ด้วยความที่ไม่รักษาคำพูด และไม่ยึดโยงประโยชน์ประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้ง

เป็นชะตากรรมของคนๆหนึ่ง ที่ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ควร “ดูไว้เป็นเยี่ยง แต่ไม่ควรเอาอย่าง” เพราะตลอดระยะเวลา 4 ปีกว่าที่ผ่านมานั้น “สุเทพ” เสียผู้เสียคนไปก็ด้วย “วาระปฏิรูป” ไม่คืบหน้า

โดยหลักแล้วต้องโทษ “รัฐบาลทหาร-ผู้มีอำนาจ” ที่มีอำนาจเต็มมือ เวลาล้นเหลือ ที่ไม่สนใจนำพาแนวทางปฏิรูปที่ภาคส่วนต่างๆนำเสนอไปสู่การปฏิบัติจริง รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ ที่ “เห็นเงียบๆ ฟาดกันเรียบ” เหมือนเดิม

และหาก “นายกฯตู่” จะเดินโทงๆ เข้าสู่สนามเลือกตั้ง โดยที่ไม่มีผลงานปฏิรูป-ปราบโกง-สังคายนาปัญหาของประเทศไปเช่นนี้ ก็คงสภาพไม่ต่างจาก “สุเทพ” เช่นกัน

รายของ “ลุงเทือก” นั้นคงกู่ไม่กลับ-ตีไม่ขึ้นแล้ว แต่ขณะเดียวกัน “ลุงตู่” ในฐานะ “ผู้นำประเทศ” ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ยังมี “เวลา-อำนาจ-โอกาส” ในการทำเรื่องดีๆให้กับประเทศ-ประชาชน

ในขณะที่ “ลุงเทือก” แทบจะต้องปิดฉากอนาคตทางการเมืองไปก่อนกาล แต่ “ลุงตู่” ยังอยู่ในจุดที่เลือกได้ว่า จุดจบหรืออนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไรต่อไป

โดยเฉพาะหากต้องการสานต่อ “โรดแมป คสช.” ในการประคองยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่คุยเขื่องว่าดีหนักหนาไปให้ตลอดรอดฝั่ง ถือเดิมพันสำคัญว่าจะได้โล้อำนาจไปต่อหลังการเลือกตั้ง กระทั่งได้เป็น “รัฐบุรุษ” เหมือนที่คนยกย่องเมื่อครั้งหลังรัฐประหาร 2557 หรือไม่ หรือที่สุดกลายเป็น “บุคคลล้มละลายทางการเมือง” เฉกเช่นเดียวกับ “อดีตลุงกำนัน” ที่สิ้นสภาพ-หมดราคาแล้วในวันนี้

อนาคตจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ตัว “ลุงตู่” เอง.

...