วันศุกร์, พฤศจิกายน 30, 2561

'ส่วยเทศกิจ' ผุดอีกรายที่เขตลาดกระบัง จ่ายผู้ช่วยฯ เดือนละหมื่นสอง :Thai E-News Exclusive

อนุสนธิ์จากรายงานเรื่องเทศกิจเก็บส่วย กรณีแม่ค้าผลไม้หน้าตลาดโชคชัย ๔ เหลืออด อาละวาดจนมีการถ่ายคลิปคนเข้าดูกันเป็นไวรัลเมื่อกลางเดือนนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่คนถ่ายคลิปถูกเพ่งเล็งและสอบสวน จนต้องออกมาโอดต่อสาธารณะ

ว่า “ยอมรับทั้งน้ำตา มีรายได้จากการเก็บส่วยเข้า บช. กว่าเดือนละ แสนบาท ส่งลูกเรียน เลี้ยงเมียอีก คน ให้เงินเดือนภรรยาจ่ายกับข้าวทำงานบ้านเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ให้ลูกสาวไป รร. วันละ ๓๐๐ บาท

ยอมรับว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะแฉทุกเขตก็เก็บส่วย มีหลักฐาน ไม่ใช่เขตผมเขตเดียว เก็บกันทั่วประเทศ


ตอนนี้ผุดอีกราย เหตุเกิดโวยวายกันตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๐ ที่เขตลาดกระบัง มีการเปิดรับฟังคำร้องเรียนแล้วสำนักงานเขตตัดสินด้วยการสั่งปิดตลาดนัดชุมชนแห่งนั้น เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

“โดยอ้างว่าเป็นนโยบายของ กทม. มีผู้ค้าร้องขอให้เปิดการค้าขายอีกครั้ง ในขณะนั้นผู้เป็นนายใหญ่บอกให้ไปตกลงกันเรื่องการจ่ายเงินตามที่พวกเขาเคยทำมาค่ะ” อดีตผู้ค้ารายหนึ่งเปิดเผยกับ ไทยอีนิวส์

นายใหญ่ที่ผู้ร้องอ้างเป็นอดีตรองผู้อำนวยการเขตระหว่างเกิดเรื่อง ต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้อำนวยการเขต และ “ทราบว่าทหารหน่วยนี้ (ชุดปัจจุบันที่ คสช.ส่งไปดูแลเขต) ก็คอยตามอารักขาผู้อำนวยการเขตฯ อยู่เช่นเดียวกัน”

“เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ดิฉันเคยไปแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ร่มเกล้า แต่...รอง สว. (สอบสวน) ร่มเกล้า ไม่รับแจ้งความอ้างว่าตำแหน่งผู้บริหารสำนักงานเขตฯ นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของตน หรือแม้แต่ที่ดิฉันแจ้งความเรื่องมาเฟียรีดไถฉ้อโกงทรัพย์ก็เงียบเช่นเดียวกัน”
 
มาเฟียรีดไถที่ผู้ค้ารายนี้อ้าง เป็นกลุ่มผู้ค้าในตลาดเดียวกันซึ่งสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่เขตและตำรวจเทศกิจที่ดูแลตลาดแห่งนั้น โดยมีสตรีคนหนึ่งทำหน้าที่เก็บส่วยเป็นประจำทุกวันส่งให้กับผู้บริหารราชการเขต “เก็บมาจ่ายผู้ช่วย ๑๒,๐๐๐ บาท จราจรก็ประมาณ ๘,๐๐๐ บาท (วันละ ๔๐๐ บาท ค่าจราจร) รวมก็ ๒๐,๐๐๐ บาทพอดี”

นอกจากนี้ยังมีรายการเรี่ยไรเป็นครั้งคราว “อย่างเช่นเมื่อช่วงสงกรานต์เขาเรียกมา ๒๐,๐๐๐” สตรีผู้ค้าคนที่ทำหน้าที่เก็บส่วยเล่าในการสนทนาทาง ไลน์ กับเจ้าหน้าที่เทศกิจคนหนึ่ง เธอบอกว่ายอดเต็มเก็บมาจากผู้ค้า ๕๐ ราย ได้ ๔ หมื่นบาท (ที่เขาเรียกเป็นคำขลังว่า ค่าปรับ) จ่ายท่านรองไปแล้ว ๒ หมื่นเหลืออีก ๒ หมื่นก็หมดพอดี
 
“มีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย พอมีงานอะไรก็ใส่ซองจนเงินติดลบ หนูก็เอาเงินหนูออกไปก่อน พอเก็บยอดใหม่มาก็หมุนไปเรื่อยๆ ค่ะ หนูถึงท้อค่ะ” สตรีที่มีคนแจ้งไทยอีนิวส์ว่าเป็น มาเฟียตัวแม่บ่นต่อเจ้าหน้าที่เทศกิจคนหนึ่งที่พยายามหาทางช่วยพวกแม่ค้าพ่อขาย

จนเทศกิจคนนั้น “ก็โดนกลุ่ม ผอ.สำนักงานเขตฯ จ้องเล่นงานมาตลอดโดนแขวนตำแหน่งมาเป็น ๒๐ ปี” ตำแหน่งที่ว่านี่คือ สิบเอก เหตุเพราะไม่เพียงตลาดเดียวที่มีการส่งส่วยเช่นนี้ในเขต ตลาดไหนนิ่งก็ทำกิจการต่อไปได้ ที่ไหนหือจึงถูกปิด

ทุกหน่วยงานในท้องที่ไม่ว่าสำนักงานเขต หน่วยทหารที่ควบคุม และตำรวจ สน.ในพื้นที่ น่าจะรู้เห็นเป็นใจด้วยกันทั้งสิ้น มาเฟียตัวแม่ เล่าถึงเรื่อง “ทหารไปบ่อนไฮโล บุกขึ้นไปตรวจค้นจับนักพนันได้ประมาณ ๓๐ คน แป๊บเดียวปล่อยหมด”

คนที่ถูกจับไปที่ สน. “ไม่ใช่คนที่ไปเล่นไฮโลนะ เป็นคนที่รับจ้าง แล้วทางบ่อนจะออกให้คนละ ๒,๐๐๐ บาท...ผลสุดท้ายเคลียกับเฮียตือเจ้าของบ่อน ก็ปล่อยหมดทุกคน”
 
ผู้ให้เบาะแสแก่ไทยอีนิวส์ท้าวความถึงตอนที่พวกผู้ค้าสี่ห้าคนพยายามทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยทหาร คสช.ที่คุมพื้นที่ว่า “ที่เลวร้ายชนิดคาดไม่ถึงว่าชาตินี้จะได้พบเจอ...แต่กลับถูกทหารซ้ำเติม

โดยการส่งเรื่องร้องเรียนทั้งหมดไปให้นายใหญ่ของสำนักงานเขตพิจารณาดำเนินการฯ โดยนายใหญ่ของมาเฟียคนดังกล่าวก็นำเอาเรื่องร้องเรียนนั้นไปฟ้องศาล กล่าวหาว่าผู้ค้าทั้งหมดที่เข้าชื่อร้องเรียนไปยังทหารนั้นหมิ่นประมาทเขา”

มาแนวเดียวกับคดี หมู่บ้านป่าแหว่งบนดอยสุเทพของตุลาการ ไม่มีผิด เมื่อสำนักงานศาลยุติธรรมได้แจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ “ในข้อหาหมิ่นประมาท จำนวน ๒ คดี”แล้ว

กลุ่มผู้รณรงค์ทราบว่ายังมีการฟ้องร้องอีก ๓ คดีจาก สน.พหลโยธิน รายหนึ่งยังไม่ทราบข้อหาอะไร อีกสองรายคาดว่าเป็นข้อหาหมิ่นประมาท นอกเหนือจากที่ตำรวจภูธรภาค ๕ ได้ยื่นฟ้องนักกิจกรรมท้องที่คนหนึ่งแล้ว ในความผิดฐาน “ติดป้ายคัดค้านกลุ่มข้าราชตุลาการที่เข้าไปอาศัยในบ้านพักเชิงดอยสุเทพ”


กรณีสำนักงานเขตฟ้องร้องผู้ค้า ๕ รายในตลาดลาดกระบังฐานหมิ่นประมาทที่ร้องเรียนนั้น “หลังจากที่ศาลได้นัดไต่สวนหลายครั้ง เขาก็คงจะรู้ว่าไม่มีทางเอาผิดพวกผู้ค้าฯได้ ก็จำต้องถอนฟัองแล้วมาลงสื่อว่าตนเองเป็นผู้นำที่ใจกว้างมีเมตตาจึงปรานีถอนฟ้องผู้ค้า”

หนึ่งในผู้ถูกฟ้องทั้งห้าให้เบาะแสไทยอีนิวส์เพิ่มเติมด้วยว่า “พวกฉันที่เขาฟ้องนั้น ทุกคนล้วนเป็นแม่ค้าข้างถนนขายผักหญ้าบนทางเท้า บางคนพิการ บางคนป่วย บางคนสูงอายุต้องช่วยประคอง...

ระยะเวลาที่ผ่านมาปีกว่าทุกๆ คนถูกข่มขู่คุกคามหว่านล้อมจากทหาร ตำรวจ นายใหญ่และพวกมาเฟียจนเกิดความเกรงกลัวก็หนีหายกันไปคนละทางสองทาง คงเหลือแต่ฉันเพียงคนเดียวที่ยังยืนหยัดต่อสู้”