วันจันทร์, พฤศจิกายน 19, 2561

สงครามกลางเมืองเยเมน กับเรื่องจริงของ “สงครามที่โลกลืม”


...

สงครามกลางเมืองเยเมน กับเรื่องจริงของ “สงครามที่โลกลืม”



AFP/Getty Images


โดย กองบรรณาธิการ
เดอะพับลิกโพสต์ออนไลน์
16 ตุลาคม 2018


ความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างกลุ่ม”ฮูซี” กับ “กองกำลังพันธมิตรซาอุดิอาระเบีย” ได้ก่อวิกฤติด้านมนุษยธรรม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 10,000 คน และ 8.4 ล้านคนต้องเผชิญความอดอยากที่รุนแรง

ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ ชาวเยเมนจำนวนมากถึง 13 ล้านคนกำลังเผชิญกับความอดอยากในสิ่งที่อาจเป็น “ความอดอยากที่เลวร้ายที่สุดซึ่งเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ในรอบ 100 ปี”

ประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้อยู่ในความยุ่งเหยิงจากความขัดแย้งที่รุนแรงมานานกว่า 3 ปี ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร้ความหวัง และต้องเผชิญกับการโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่อง

และนี่คือจุดเริ่มต้นของ “สงครามที่ถูกลืม”…



ถล่มทางอากาศโจมตีกรุงซานา (Reuters)


สองฝ่ายคือใคร??

การสู้รบเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มกบฏ “ฮูซี” (Houthi) ชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อยสำนักคิด “ชีอะห์ซัยดียะห์” (Zaidi Shia) ซึ่งถูกระบุว่าได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน กับ “กองกำลังรัฐบาลเยเมน” ที่ได้รับการสนับสนุนจาก 10 ชาติพันธมิตรประเทศซุนนีซึ่งเป็นมุสลิมชนส่วนมากที่นำโดยซาอุดิอาระเบียและยูเออี

ประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องถูกกล่าวหาว่าใช้ประโยชน์จากวิกฤตินี้ เพื่อขยายขอบข่ายผลประโยชน์ของตนในภูมิภาค

ฮูซี – ไม่แยแสกับการปกครองของประธานาธิบดี “อับดุรอบบุ มันโซร์ ฮาดี” นับตั้งแต่เขาได้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่ “อาลี อับดุลเลาะห์ ซาและห์” หลังการลุกฮือในเหตุการณ์ “อาหรับสปริง” ปี 2011 (พ.ศ.2554) – มีการเดินขบวนจากทางภาคเหนือสู่ “กรุงซานา” เมืองหลวงเยเมน ในเดือนกันยายน ปี 2014 (พ.ศ.2557) และบีบบังคับให้ “ฮาดี” ต้องออกจากตำแหน่ง

ประธานาธิบดีฮาดี หนีไปริยาดผ่านเมืองเอเดน (Aden) และร้องขอความช่วยเหลือจากซาอุฯ

ซาอุดิอาระเบียได้ตอบโต้กลุ่มกบฏในเดือนมีนาคม 2015 ด้วยการโจมตีอากาศอย่างรุนแรงในปฏิบัติการที่เรียกว่า “พายุมหากาฬ” หรือ ”ดีไซซีฟ สตอร์ม” (Decisive Storm) ภายใต้การบัญชาการของ “มูฮัมหมัด บินซัลมาน” ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของซาอุฯ ก่อนที่จะรับตำแหน่งมกุฎราชกุมาร

รายงานของศาสตราจารย์มาร์ธา มุนดี (Martha Mundy) จากมูลนิธิสันติภาพโลก (World Peace Foundation – WPF) ระบุว่า ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรนำโดยซาอุดิอาระเบียเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายยังฐานที่มั่นทางทหารของฮูซี แต่ปฏิบัติการทิ้งระเบิดของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนอย่างรวดเร็วไปสู่เป้าหมายที่เป็นพลเรือน

รวมถึง “โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและการขนส่ง การผลิตและจำหน่ายอาหาร ถนนและการคมนาคมโรงเรียน อนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรม คลินิกและโรงพยาบาล บ้านเรือน เรือกสวนทุ่งนาและฝูงสัตว์” เธอระบุเกี่ยวกับวิกฤติที่เกิดขึ้นในรายงานทางวิชาการฉบับล่าสุดของเธอ ที่ชื่อ “กลยุทธ์ของพันธมิตรในสงครามเยเมน: การโจมตีทางอากาศและสงครามอาหาร” (The Strategies of the Coalition in the Yemen War: Aerial Bombardment and Food War)

พื้นที่แถบชนบทได้ถูกทิ้งระเบิด รวมทั้งทุ่นระเบิด และอุปกรณ์ระเบิดอื่นๆ อันเป็นผลมาจากการสู้รบ ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อชีวิตมนุษย์บนผืนแผ่นดิน และทำให้การทำไร่ไถพรวนเป็นไปไม่ได้

ซาอุฯ กล่าวหาว่า ทุ่นระเบิด 1 ล้านลูกนั้นถูกวางโดยกลุ่มฮูซีไว้เป็นกับดักของพวกเขาในช่วงสามปีที่ผ่านมา และอีกประมาณ 500,000 ลูกที่เหลือโดยฝีมือ “อัลกออิดะห์” ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ยังคงสู้รบกับรัฐอยู่ทางตะวันออกของเยเมน ทำให้ภาพมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

“นี่เป็นปัญหาที่ยากที่สุดของเยเมนตอนนี้ จะใช้เวลาตลอดชีวิตในการจัดการ” อาลี ซาและห์ เจ้าหน้าที่รัฐ กล่าวกับสื่อดิอินดีเพนเดนท์

แผนเจรจาสันติภาพได้พังทลายลงเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากที่คณะผู้แทนฮูซีไม่ได้เข้าร่วม กระตุ้นให้เกิดการกล่าวหาจากรัฐมนตรีต่างประเทศเยเมน “นายคาลิด อัลยามานี” ที่กล่าวว่าพวกเขา “พยายามที่จะก่อวินาศกรรมการเจรจา”

แต่ผู้นำกลุ่มฮูซี “นายอับดุลมาลิก อัลฮูซี” ยืนยันว่า ฝั่งของเขาถูกขัดขวางโดยเจตนาไม่ให้สามารถเข้าร่วมโดยใช้การปิดกั้นทางยุทธศาสตร์





ทำไมสหรัฐฯ และอังกฤษจึงสนับสนุนซาอุดิอาระเบีย?

ในขณะที่อังกฤษ สหรัฐฯ และฝรั่งเศส ได้เรียกร้องทั้งสองฝ่ายให้เจรจาสันติภาพ แต่ทั้งสามประเทศก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อความล้มเหลว เพราะต้องยืนฝั่งซาอุดิอาระเบียเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของตน

อังกฤษได้ขายอาวุธมูลค่ากว่า 4.6 พันล้านปอนด์ (ราว 2 แสนล้านบาท) ให้แก่กองทัพซาอุดีอาระเบียนับตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงในเยเมนในเดือนมีนาคม 2015 (พ.ศ.2558) ซึ่งมีทั้ง เครื่องบิน โดรน ระเบิด ขีปนาวุธ และรถถัง

ผลสำรวจเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดย YouGov for Save the Children and Avaaz พบว่า 63 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนชาวอังกฤษคัดค้านรัฐบาลอังกฤษไม่ให้ขายอีกต่อไป โดยมีเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ที่สนับสนุนการค้านี้

“ไมค์ ปอมเปโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และอดีตผู้อำนวยการซีไอเอ เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยังเลือกที่จะให้สหรัฐฯ สนับสนุนการโจมตีทางอากาศของซาอุดีอาระเบียต่อไป มากกว่าที่จะสร้างความเสี่ยงต่อการขายอาวุธให้ประเทศอ่าวแห่งนี้ที่มีมูลค่าถึง 2 พันล้านเหรียญ (ราว 6.6 หมื่นล้านบาท)

ตามรายงานของสื่อ “เดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล” เกี่ยวกับบันทึกที่รั่วหลุดออกมา นายปอมเปอีได้กล่าวว่า “ความกังวลมากที่สุดจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงการต่างประเทศที่ถกเถียงกันส่วนใหญ่ ก็คือการกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือนในเยเมน”

แม้ว่าอังกฤษและสหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วมการทิ้งระเบิดกับซาอุดิอาระเบีย แต่สหรัฐก็ให้การสนับสนุนการเติมน้ำมันกลางอากาศและการสนับสนุนด้านลอจิสติกส์ ขณะที่บุคลากรทางทหารของอังกฤษก็ประจำการอยู่ในศูนย์ควบคุมและสั่งการ

ส่วนอีกด้านหนึ่ง “สเปน” ได้ยกเลิกข้อตกลงขายอาวุธกับริยาดอันเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามนี้ โดยจ่ายเงินคืนเป็นจำนวน 7.8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 335 ล้านบาท) ซึ่งได้รับชำระสำหรับค่า “เลเซอร์นำทางระเบิด” (laser-guided bombs)

มีคนตายหรือถูกบังคับให้หลบหนีกลายเป็นผู้ลี้ภัยจำนวนกี่คน?

อย่างน้อย 7,641 คนถูกสังหารในความขัดแย้งนี้ และจำนวนผู้พลัดถิ่นอีกหลายล้านคน อย่างไรก็ตามมีการประมาณการว่าจำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะเกือบ 10,000 ราย

ตามรายงานของสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 นับเป็นเดือนแห่งการสู้รบที่รุนแรงที่สุดในปีนี้ มีผู้ถูกสังหาร 981 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 300 คน

ก่อนหน้านี้ มีพลเรือนถูกสังหาร 6,660 คน และบาดเจ็บ 10,563 คน ระหว่างเดือนมีนาคม 2015 ถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ ตามการประมาณการของสหประชาชาติ



ทำไมเยเมนถึงเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร?

การปิดล้อมและการจำกัดการเดินทางโดยของซาอุดิอาระเบียได้ขัดขวางไม่ให้อาหารและความช่วยเหลือไปถึงเยเมน ส่งผลให้ราคาอาหารภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ครอบครัวที่สิ้นหวังเหล่านี้ไม่สามารถจัดหาวัสดุพื้นฐานจากตลาดได้

รายงานของ WPF กล่าวหารัฐบาลซาอุดิอาระเบียว่าใช้ความอดอยากเป็นอาวุธสงครามเพื่อสร้างเงื่อนไขที่ไม่สามารถป้องกันได้สำหรับกลุ่มฮูซี รายงานระบุว่า มีเรือประมงกว่า 220 ลำที่ถูกทำลายโดยระเบิดตามแนวชายฝั่งทะเลแดงของเยเมน ซึ่งหมายความว่าทำให้การจับปลาในพื้นที่นี้ลดลง 50 เปอร์เซนต์

การโจมตีทางอากาศที่ท่าเรือฮูดัยดะห์ (Hodeida) ในเดือนมิถุนายนก็เช่นเดียวกัน มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะปิดการใช้งานท่าเรือแห่งนี้ซึ่ง 70 เปอร์เซนต์ของการนำเข้าสินค้าสู่เยเมนผ่านสถานที่แห่งนี้ กองกำลังพันธมิตรซาอุฯ ได้ตัดเส้นทางการลำเลียงขนส่งที่สำคัญระหว่างกรุงซานา และฮูดัยดะห์ ในเดือนกันยายน

ความยากลำบากที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเสียหายจากระเบิดได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าและเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้การปศุสัตว์ขั้นพื้นฐานเป็นไปได้ยากขึ้น บังคับเจ้าของฟาร์มให้ต้องขายโคออกไป

ผลจากทั้งหมดนี้ ทำให้เกือบสามในสี่ของประชากรในเยเมนจากทั้งหมด 27.58 ล้านต้องพึ่งพาความช่วยเหลือ หรือจำนวนประมาณ 22.2 ล้านคน โดย 8.4 ล้านคนกำลังหิวโหย และ 1.8 ล้านคนเป็นเด็ก ตามรายงานของยูนิเซฟ

เมื่อสื่ออินดิเพนเดนท์ เข้าเยี่ยมโรงพยาบาลในมูกัลลาะห์ (Mukalla) ทางตอนใต้ของประเทศในเดือนสิงหาคม เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์รายงานว่า พวกเขากำลังดิ้นรนเพื่อรับมือกับการไหลบ่าเข้ามาของคนที่ขาดสารอาหาร

“ปัญหาไม่ใช่เงินทุน แต่พื้นที่เรามีเตียงเพียง 6 เตียง และสามารถรักษาผู้ป่วยได้ไม่เกิน 35 คนต่อเดือน เราถูกบังคับให้ต้องปล่อยประชาชนตามยถากรรม “ดร. อับฮา อับดัลลาห์ กล่าว

“มันช่างมืดมัว เรากำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับความอดอยาก” หัวหน้าหน่วยงานด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ มาร์ก โลว์คอก (Mark Lowcock) กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้กับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

แปล/เรียบเรียง จาก ดิอินดีเพนเดนท์