วันพุธ, พฤศจิกายน 14, 2561

ไม่ค่อยจะน่ายินดีนักนะกะ ว.วชิรเมธี เพราะมันมาพร้อมกับรอยเปื้อนทางมโนธรรมในอดีตของท่าน

ไม่ค่อยจะน่ายินดีนักนะกะ ว.วชิรเมธี ที่ได้เป็น อุปถัมภกของสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ เพราะมันมาพร้อมกับรอยเปื้อนทางมโนธรรมในอดีตของท่าน

แต่ที่ยินดีแน่ๆ ก็จดหมายตอบจากแผนกกิจการภายนอกของสหภาพยุโรปต่อองค์กรปฏิบัติการเพื่อประชาธิปไตยของประชาชน ว่า อียู ต้องการเห็นประเทศไทยมีเลือกตั้ง ยกเลิกข้อจำกัดต่อกิจกรรมทางการเมือง เปิดให้มีเสรีภาพพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านสิทธิมนุษยชนและการแสดงความคิดเห็น (ต่าง)

จดหมายลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน จากนายเดวิด เดลี่ ในนามประธานสมัชชายุโรป ดอแนลด์ ทัสค์ ถึง น.ส.จรรยา ยิ้มประเสริฐ ในฐานะตัวแทนองค์กร Action for People’s Democracy ระบุว่า

ทั้งในการประชุม ASEM 12 Summit และในที่ประชุมผู้นำยุโรป-อาเซียน ประธานฯ ทัสค์ เน้นการปกป้องหลักการและคุณค่าอันเป็นกุญแจสำคัญ ดังเช่นการเคารพต่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม พร้อมทั้งการร่วมอยู่ในสังคมที่เข้มแข็งและเป็นอิสระ

จดหมายยังยกเอาข้อเรียกร้องของคณะกรรมาธิการต่างประเทศอียูเมื่อปลายปี ๒๕๖๐ มาย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไทยต้องรื้อฟื้นคืนสู่กระบวนการประชาธิปไตย ผ่านทางการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและเปิดกว้าง โดยเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐาน

ในครั้งนั้นสมัชชาแจ้งต่อประเทศไทยอย่างเจาะจงว่าจะคอยจับตาดูความประพฤติในเรื่อง ยกเลิกข้อจำกัดในเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น การสื่อสาร เช่นเดียวกับเสรีภาพในการชุมนุมและการมีส่วนร่วม ทั้งยังขอให้ยกเลิกข้อจำกัดต่อพรรคการเมือง การจัดตั้งองค์กรประชาสังคม กับให้เกียรติและสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชน

จดหมายทางการของอียูเผยด้วยว่าในการพบปะระหว่างนางเฟรเดอริกา โมเกอรินี รองประธานด้านสิทธิมนุษยชนของอียูกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ที่ผ่านมา ได้มีการเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยอีกครั้งให้เร่งจัดการเลือกตั้งและยุติการตั้งข้อจำกัดควบคุมต่อพรรคการเมือง

(ซึ่งสาธารณชนไทยไม่เคยได้ทราบเรื่องนี้จากปากของ รมว.ต่างประเทศเลย มีแต่คำโฆษณาชวนเชื่อของกระทรวงต่างประเทศว่า นานาชาติล้วนกระตือรือล้นจะร่วมมือกับรัฐบาลทหารไทยในโครงการระเบียงตะวันออก หรือ อีอีซี)

อีกครั้งในการพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยกับอียูในกรุงเทพฯ เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ทางฝ่ายอียูกระตุกไทยให้ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดเลือกตั้งที่โปร่งใสและเปิดกว้าง เพื่อจะได้กลับไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสียที

เช่นกัน ในครั้งนี้ทางฝ่ายอียูได้ย้ำว่าควรที่จะยกเลิกข้อจำกัดต่อพรรคการเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่ง คสช.คงยื้อไว้ไม่ปล่อย (ดังเช่นการปลดล็อคพรรคการเมือง) กับเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการรวมกลุ่มชุมนุม

แต่สิ่งที่ประชาชนไทยได้รับทราบจากปากของ รมว.ต่างประเทศมีแต่การโกหกว่านานาประเทศเรียงหน้าจากจะพบกับหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้ารัฐบาลมาแล้วเกือบห้าปี

มิหนำซ้ำล่าสุดในการประชุมร่วมของประเทศยุโรป ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายปณิธาน วัฒนายากร กลับโฆษณาชวนเชื่อให้แก่ คสช.อย่างเกินจริงด้วยข้อมูลผิดๆ อีกว่าประเทศยุโรปเกือบร้อยชื่นชมรัฐบาลคณะรัฐประหารไทย ทั้งที่ประเทศในยุโรปมีเพียงจำนวน ๕๐

กระนั้นก็ดี เกียรติที่บุคคลากรไทยได้รับจากองค์การระหว่างประเทศ เช่นสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติ ยังพอมีให้ได้แสดงการชื่นชมกันบ้าง เมื่อมีข่าวว่าจะมีการถวายตำแหน่งผู้อุปถัมภ์ UNHCR ด้านสันติภาพ และเมตตาธรรม แก่พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี)

จะมีการจัดงานมุทิตาจิตพร้อมสัมภาษณ์พิเศษที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพ ในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายนนี้ สดุดีผลงาน “ในการสร้างการรับรู้ ระดมทุน และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างหลักคำสอนทางพุทธศาสนาต่อการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย”

การนี้จะ “มีนักแสดงสาว ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก ทูตสันถวไมตรีของยูเอ็นเอชซีอาร์ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดี” อรุณี อัชชะกุลวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแผนกส่งเสริมความร่วมมือภาคเอกชน (ประเทศไทย) สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย เปิดเผย

เป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับผู้รับตำแหน่ง แต่จะน่าชื่นชมแค่ไหนสำหรับผู้ที่นิยมชมชอบ ว.วชิรเมธี เป็นอีกเรื่อง ในเมื่อมีรายงานพฤติกรรมในอดีตของพระสงฆ์นักกิจกรรมเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และโลกสวยท่านนี้ ที่อาจทำให้แปดเปื้อนต่อภาพลักษณ์นักสิทธิมนุษยชนของท่านไม่มากก็น้อย

ในปี พ.ศ.๒๕๕๓ ระหว่างมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง รัฐบาลขณะนั้นได้ใช้กำลังทหารและกระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุมของฝ่าย นปช. ว.วชิรเมธี ได้แสดงตนเข้ากับฝ่ายกำลังของรัฐด้วยการทวี้ตข้อความว่า “@vajiramedhi ว่า ฆ่าเวลาบาปยิ่งกว่าการฆ่าคน”

แนวคิดเดียวกันที่ว่าการฆ่าคนยังไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่สุดนี้ ปรากฏในหนังสือ หนึ่งคนตาย ล้านคนตื่น ของ ว.วชิรเมธี ตีพิมพ์เมื่อปี ๒๕๕๕ ด้วยว่า “เราเคยได้ยินพระท่านสอนอยู่บ่อยๆ ว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่อาตมาอยากบอกว่า การฆ่าเวลาต่างหากที่เป็นบาปมหันต์ยิ่งกว่า”

ข้ออ้างของท่านอยู่ที่เมื่อฆ่าสัตว์แล้ว “ไปหาสัตว์มาปล่อยเอาบุญ” ได้ แต่ฆ่าเวลาไม่สามารถย้อนกลับให้เวลาหวนคืนมาได้อีก ทำให้ผู้ที่นับถือพุทธศาสนาจำนวนไม่น้อยงุนงงต่อการใช้ตรรกะเช่นนี้ที่ว่า การปล่อยสัตว์สามารถลบล้างบาปจากการฆ่าสัตว์ได้

ไม่เพียงเท่านั้นรายงานข่าวระบุด้วยว่า “ช่วงใกล้จะเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม ๑๐ เม.ย.๒๕๕๓ ที่มีคนตาย ๒๑ คน และในช่วงพฤษภา ๒๕๕๓” รัฐบาลขณะนั้นเรียกปฏิบัติการนี้ว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่”

ว.วชิรเมธี ก็ไม่วายมีวาทกรรมเสริมการปราบปรามประชาชนของรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ว่าการบังคับใช้กฎหมายต้องให้ศักดิ์สิทธิ์

โดย “กระชับพื้นที่คนเลว ขยายพื้นที่คนดี”

(https://prachatai.com/journal/2018/11/79596)