เริ่มวันที่ ๒๖ พฤศจิกายนนี้ “เกิดขึ้นครั้งแรกในโลกแล้วไม่เกิดขึ้นอีก”
กระบวนการจัดหาสมาชิกวุฒิสภาไทยภายใต้บงการคณะรัฐประหาร ที่ได้งบประมาณไปถลุง
๑,๓๐๓ ล้านบาท
ไม่ว่าคณะกรรมการเลือกตั้งจะพยายามโฆษณาให้ฟู่ฟ่า
‘ขลัง’ และฟังดู ‘วิเศษนิยม’ เพียงใด มันก็ยังเป็นเพียง ‘ตลก’ จ๊กม๊ก ต้มคนดูอยู่นั่นเอง
ประธานบอก “ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของ
กกต.เองประมาณ ๑,๑๗๖ ล้านบาท...จะใช้จ่ายให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด”
ด้านเลขาฯ ว่า “สว.ชุดนี้จะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง ๕ ปี
เท่ากับว่าจะมีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯอย่างน้อย ๒ ครั้ง” สำคัญมากนะนี่
ส่วนรองเลขาฯ ดราม่าที่สุด “กล่าวเตือนสื่อมวลชนในการเสนอข่าวเกี่ยวการรับสมัคร
สว. ว่า จะไม่สามารถเปิดเผยชื่อหรือจำนวนผู้สมัครได้
จนกว่าจะปิดการรับสมัครในระดับอำเภอ
เนื่องจากกฎหมายไม่ต้องการให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ”
ทั้งหมดนั่นต้องขอบใจ ‘โพสต์ทูเดย์’ ช่วยประโคม ตรงนี้ https://www.posttoday.com/politic/news/571707
แล้วยังมี ‘บีบีซีไทย’ เสริมต่อยอดว่า ใน ๕ วันของการเปิดรับสมัครนี่ “ห้ามคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่เปิดเผยรายชื่อและจำนวนผู้สมัครในแต่ละกลุ่ม...เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน”
ณัฏฐ์ เล่าสีห์สวกุล รองเลขาธิการ กกต. อธิบายเสียเป็นวรรคเป็นเวรว่า
“อยากให้เป็นธรรมชาติ” คือถ้ารู้ชื่อรู้จำนวนแล้ว “ผู้สมัครอาจหนีจากกลุ่มที่มีคนเยอะไปสมัครกลุ่มที่มีคนน้อยกว่า”
ดังนั้นสื่อมวลชนต้องรอถึงวันที่ ๑ ธันวาคม จึงจะนำรายชื่อไปเผยแพร่ได้
ทั่นรองเลขาฯ ยังชี้ถึงความเป็นวิเศษนิยม
(ขอยืมคำของทั่นรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย วิษณุ เครืองาม มาใช้หน่อย) ที่การเลือกกันเองให้ได้รายชื่อผู้เข้าแข่งเป็น
สว. ๒๐๐ คน ครั้งนี้จะ ‘เงียบที่สุดในโลก’ ห้ามกระโตกกระตากใดๆ ทั้งสิ้น
“ก็เขาไม่ได้ต้องการให้เป็นข่าว
แต่ต้องการให้คนกลุ่มเล็ก ๆ เลือกกันเองแบบกุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ แล้ว คสช. ก็ไปหยิบมา ๕๐ คนแบบเงียบ
ๆ”
นั่นละพ่อแม่พี่น้อง กระบวนการ ‘พันกว่าล้าน’ เพื่อรับสมัครและจัดหาตั้งแต่ระดับอำเภอขึ้นมา
ภายใน ๕ วัน ที่คาดว่าจะมีผู้เสนอตัวนับเป็นแสน ก่อนจะไปถึงกรรมวิธีเลือกกันเองด้วยบัตรหนึ่งใบ
ให้ใส่ชื่อตัวเองและเพื่อน ใส่ชื่อเดียวกันซ้ำไม่ได้ถือเป็นโมฆะ
แล้วตัดยอดเอาไปสองร้อยราย ส่งให้ คสช.
คัดเหลือแค่ ๕๐ นั้นน่ะ มันจะวิเศษนิยมแค่ไหน ในเมื่อจำนวน สว.ทั้งสิ้นมี ๒๕๐ คน
คสช. ตั้งมาโดยตรง ๑๙๔ คน กับแม่ทัพนายกองที่เป็นโดยตำแหน่งอีก ๖ เท่ากับจำนวนที่ผ่านการคัดสรรให้
คสช. “เลือก” ๕๐ คนนั้น มีจำนวนเพียง ๑ ใน ๕
ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยกับการ “ได้ร่วมเลือกนายกฯ
อย่างน้อย ๒ ครั้ง...ถือว่ามีความสำคัญ เพราะแพ้ชนะกัน ๑ คะแนน นายกฯ ก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน”
เหมือนอย่างที่ พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. อ้าง
ดังนี้ การที่ กกต. ตั้งแต่ประธานยันรองเลขาดาหน้ากันออกมาประโคมเสียขนานใหญ่
ไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘เล่นกล’ ตบตาผู้ชม พวกเขาคิดว่าประชาชนดักดานหรือไร ถึงได้ใช้วิธีการลวงล่อง่ายๆ
เช่นนี้