วันอังคาร, พฤศจิกายน 06, 2561

ศาลไม่ให้ประกันตัว สิรภพ เจ้าของนามปากกา "รุ่งศิลา" ครั้งที่ 7 ไร้อิสรภาพมาแล้ว 4 ปี 4 เดือน





สิรภพ เจ้าของนามปากกา "รุ่งศิลา" เป็นกวีที่มีเว็บบล็อกและเฟซบุ๊กที่เขียนบทความและบทกลอนเกี่ยวกับการเมือง

สิรภพถูกควบคุมตัวโดยทหารขณะกำลังเดินทางผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ไปยังจังหวัดอุดรธานี ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัวของ คสช. หลังจากนั้น เขาถูกเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) อายัดตัวไปสอบสวนต่อในข้อหาหมิ่นประมาทพระกษัตริย์ฯ

สิรภพถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 จากการเขียนบทความและบทกลอนลงบล็อกจำนวน 3 ชิ้น ซึ่งถือเป็นความผิดรวม 3 กรรม


ที่มา Ilaw
.

ข้อเท็จจริงเบื้องต้น

#การจับกุมและควบคุมตัว

สิรภพ มีชื่อปรากฎอยู่ในคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 44/2557 เรื่องเรียกให้บุคคลไปรายงานตัว แต่สิรภพตัดสินใจไม่ไปรายงานตัว ทำให้ถูกออกหมายจับในวันที่ 8 มิถุนายน 2557 จนมาถูกจับกุมโดนเจ้าหน้าที่ทหารเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2557

ภายหลังการจับกุมและควบคุมตัวในค่ายทหาร 1 คืน สิรภพก็ถูกส่งตัวมาที่กองบังคับการปราบปรามและเขาต้องอยู่ที่นั้นจนครบ 7 วัน (แต่ตั้งวันที่โดนจับ) จากนั้น พนักงานสอบสวนพาสิรภพไปศาลทหาร
เพื่อขออำนาจศาลฝากขังต่อ

#ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี

แม้ศาลทหารอนุญาตให้ประกันตัวในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งรายงานตัว คสช. แต่ทันที่ที่ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพสิรภพก็ถูกอายัดตัวไปสอบสวนต่อในข้อหามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่กองบังคับการ ปอท. เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้นามแฝง "รุ่งศิลา" เขียนกลอนและบทความหมิ่นฯ และทำให้เขาถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีและศาลก็ไม่อนุญาตให้สิรภพได้ประกันตัวมาโดยตลอด

#การต่อสู้คดี

ทนายความของสิรภพได้ยื่นเรื่องให้ศาลทหาร ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เรื่องให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีพลเรือน ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะโครงสร้างของศาลทหารทำให้การตัดสินพิจารณาคดีเป็นไปอย่างไม่เป็นอิสระ ซึ่งขัดต่อหลักสิทธิในกระบวนการยุติธรรม แต่ศาลทหารยกคำร้องพร้อมให้เหตุผลว่า แม้ศาลทหารจะสังกัดกระทรวงกลาโหม แต่ก็มีความเป็นอิสระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีอำนาจในส่วนของงานธุรการของศาลเท่านั้น ส่วนการพิจารณาและตัดสินคดีผู้พิพากษามีอำนาจตัดสินคดีอย่างเป็นอิสระ

นอกจากนี้ ศาลทหารยังระบุว่า ศาลทหารไม่มีหน้าที่ต้องส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ

////////////////////

คดีนี้ในคดีมาตรา 112 สิรภพต่อสู้มาตลอดว่า เนื้อหาที่เขาเขียนในบทกวีและบทความ ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์แต่เป็นการวิจารณ์การเมือง ซึ่งคดีมาตรา 112 ศาลทหารสั่งพิจารณาโดยลับมาตลอด

ส่วนคดีไม่ไปรายงานตัวสิรภพต่อสู้ว่า คำสั่งหรือประกาศของ คสช. มีฐานของอำนาจที่ได้มาโดยมิชอบธรรม การไม่ทำตามคำสั่งหรือการอารยะขัดขืนและต่อต้านการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศที่ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิเสรีภาพที่ต้องได้รับการคุ้มครอง

จากวันแรกที่ถูกพาตัวมาศาลทหารก็เกือบจะนานเป็นเวลา 2 ปีที่สิรภพต้องอยู่ในเรือนจำและต้องต่อสู้คดี อีกทั้ง วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคมนี้ จะเป็นการสืบพยานจำเลยครั้งแรก โดยสิรภพจะขึ้นเบิกความเอง เพื่อบอกต่อศาลและสังคมว่าว่า

'ทำไมเขาถึงไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร'

อ่านเรื่อง สิรภพ: บทกวีที่ถูกตามล่า ที่ http://goo.gl/dTS1m3

ดูรายละเอียดคดีไม่ไปรายงานตัวของสิรภพ ย้อนหลังที่ http://freedom.ilaw.or.th/case/583

ดูรายละเอียดคดีมาตรา 112 ของสิรภพ ที่ http://freedom.ilaw.or.th/case/622

.




ooo



ที่มา
การเมืองไทย ในกะลา
May 24, 2016 ·


“เรียกรายงานตัวอีกครั้งก็ยังจะอารยะขัดขืน” คำเบิกความ 'รุ่งศิลา' กวีหลังกรงขัง

ที่มาคดีของกวีต้านรัฐประหารผู้เชี่ยวชาญการทหาร
สิรภพ หรือนามปากกา ‘รุ่งศิลา’ เป็นนักเขียน กวี หนุ่มใหญ่วัย 53 ปี ไว้ผมยาว รูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาแข็งกร้าวแต่พูดจาสุภาพ มีเหตุมีผล

รุ่งศิลาเป็นเจ้าของบล็อก Rungsira ลักษณะเด่นของบล็อกเขาคือ บทวิเคราะห์การเมืองปัจจุบัน โยงไปถึงประวัติศาสตร์การเมือง ที่โดดเด่นอีกอย่างคือบทวิเคราะห์ด้านการทหาร กองกำลังต่างๆ อาวุธยุทโธปกรณ์นานา การอ้างอิงบางส่วนมาจากวิกิพีเดีย ขณะที่อีกหลายส่วนก็ต้องอาศัยวิจารณญาณผู้อ่าน และแน่นอนบทความจำนวนมากนั้นมุ่งเน้นการต่อต้านการรัฐประหาร

หลังการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 รายชื่อของเขาปรากฏออกทีวีในประกาศเรียกรายงานตัวกับคสช. ในวันที่ 1 มิ.ย. และสั่งให้รายงานตัววันที่ 3 มิ.ย. แต่เขาไม่ไปรายงานตัว

ในคืนวันที่ 25 มิถุนายน 2557 เวลา 22.30 น. เขาถูกจู่โจมควบคุมตัวโดยทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ชุดเคลื่อนที่เร็ว ใส่เครื่องแบบครึ่งท่อน ในมือถืออาวุธสงคราม ขับรถปาดหน้ารถยนต์ปิกอัพที่เขาใช้เดินทางในคืนวันฝนตก เขาว่า “ราวกับฉากในหนัง” เหตุเกิดก่อนถึงแยกเข้าตัวเมืองกาฬสินธุ์ผ่านทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เขาบอกว่าเขาไปที่นั่นเพื่อรอเวลาติดต่อขอสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองจาก UNHCR องค์กรข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ

คำถามสำคัญของเขา คือ คสช.ทำไมจึงมีชื่อนามสกุลจริงของเขา เพราะโดยปกติเขาใช้นามปากกาในการเขียนงานลงบล็อก ไม่เคยร่วมชุมนุมหรือสมาคมกับใคร และมีเพื่อนสนิทเพียง 2 คนเท่านั้นที่ทราบว่านามแฝง “รุ่งศิลา” ตัวจริงคือใคร

หลังการควบคุมตัวในค่ายทหาร 7 วันเขาถูกส่งตัวต่อให้ตำรวจกองปราบและแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ไม่มารายงานตัวและต่อมามีข้อหาตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วยอีกคดีจากผลงาน 3 ชิ้นในบล็อกของเขา เขาถูกคุมขังในเรือนจำจนปัจจุบันเกือบ 2 ปีเต็ม ขาดอีก 1 เดือน

ผลงาน 3 ชิ้นที่ถูกฟ้อง คือ

1.บทกลอนเสียดสีการเมือง โพสต์ในเว็บบอร์ดประชาไท เมื่อ 4 พ.ย.2552

2.ภาพการ์ตูนแนวเสียดสี พร้อมข้อความประกอบเป็นเนื้อเพลง “เป็นเทวดาแล้วใยต้องมาเดินดิน.....” โพสต์ในเฟซบุ๊กชื่อ Rungsira เมื่อ 15 ธ.ค.2556

3.ข้อความและภาพการ์ตูนล้อเลียนในบล็อกรุ่งศิลา หัวข้อ “เชื้อไขรากเหง้า ‘กบฏบวรเดช’ ที่ยังไม่ตายของเหล่าทาสที่ปล่อยไม่ไป’ เมื่อ 22 ม.ค.2557

บ่ายแก่วันก่อนเขาถูกจับกุม 1 วัน ทหารและตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบราว 30 นายบุกค้นสำนักงานรับเหมาก่อสร้างของเขาที่จังหวัดสงขลา นำโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ของทั้งบ้านไปพร้อมทั้งนำตัวลูกสาว 2 คน ลูกชาย 1 คน และหลานอายุ 10 เดือนไปทำการสอบสวนในค่ายทหารในเมืองสงขลา จนกระทั่งเที่ยงคืนกว่าทั้งหมดจึงได้รับการปล่อยตัว

“ตอนนั้นตกใจมากเหมือนกันแต่ทำไรไม่ได้ ก็เลยพยายามควบคุมสติไว้ ในใจก็คิดว่าเรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ เหมือนกับเราไปฆ่าคนตาย เหมือนคดีร้ายแรงมากแบบยาเสพติดหรืออาชญากรรม มันเรื่องใหญ่จริงๆ” พลอยลูกสาวคนกลางกล่าว

“ตอนช่วงแรกก็ทำใจลำบากเหมือนกันเพราะครอบครัวเราไม่เคยเจอเรื่องอะไรร้ายแรงขนาดนี้ ถึงพ่อกับลูกจะนานๆ ทีเจอกัน แต่ว่าเราก็ผูกพันกันมากอยู่แล้ว เจอเรื่องอะไรแบบนี้ก็ยากจะรับได้ แล้วยิ่งรู้ว่าพ่อเราไม่ได้เป็นคนไม่ดีถึงขนาดที่ต้องถูกคุมขังในคุก ยิ่งแย่มากค่ะ แต่พอเริ่มผ่านมานานที่พ่ออยู่ในนั้น เราก็ไม่ได้ถึงกับปลง แต่เราก็ต้องทำใจไว้แล้วประมาณนึง ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ทิ้งเค้าแน่นอนไม่ว่าเค้าต้องอยู่ในนั้นนานแค่ไหน พลอยจะคอยดูแลพ่อไปจนกว่าเค้าจะได้ออกมามีอิสระอีกครั้งนึง” พลอยกล่าว

ปัจจุบันเขามีเพียงลูกสาวที่ผลัดกันไปเยี่ยมที่เรือนจำราวเดือนละ 1 ครั้ง

เส้นทางยาวนานของการต่อสู้คดี และ ห้องที่ปิดลับ
เรื่องราวของเขาซ่อนตัวอยู่เงียบๆ หลังลูกกรงเรือนจำมา 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เราเคยมีโอกาสพูดคุยกับเขาระหว่างถูกควบคุมตัวถึงเหตุผลที่ไม่ยอมรายงานตัว เขาบอกว่า

“มันรู้สึกยอมรับไม่ได้กับการออกมายึดอำนาจทำรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 รับไม่ได้จริงๆ กับความอยุติธรรมที่คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งกระทำต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ รวมถึงการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าคนชาติเดียวกันตายนับร้อยศพ บาดเจ็บเป็นพันคน กลางเมืองหลวงของประเทศ โดยกองทหารเดิมๆ อย่างซ้ำซากมากกว่าครึ่งศตวรรษ”

“เป็นความซ้ำซาก ย้อนแย้งและล้าหลัง ผมคิดว่าประเทศนี้มีอาการเจ็บป่วยอย่างหนักหนาเหลือเกิน”

เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและยืนยันจะต่อสู้คดี ครอบครัวของเขายื่นประกันอย่างน้อย 3 ครั้งและศาลไม่อนุญาตทุกครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้ต้องขังหนึ่งเดียวที่ร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับกลุ่มพลเมืองโต้กลับ ฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกในความผิดม. 113 เป็นกบฏล้มล้างการปกครองด้วย คดีนี้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ต่างก็มีคำสั่ง "ไม่รับฟ้อง"

คดี 112 นั้นเริ่มสืบพยานปากแรกไปเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2559 ที่ผ่านมานี้เอง โดยศาลทหารสั่งพิจารณาคดีลับทำให้ไม่มีใครสามารถเข้ารับฟังและสังเกตการณ์คดีนี้ได้

คดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช. เริ่มการสืบพยานครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2558 อานนท์ ทนายจำเลยระบุว่า พยานโจทก์มี 4-5 ปากโดยส่วนใหญ่เพื่อมายืนยันว่าสิรภพไม่ได้มารายงานตัวจริง ขณะที่ประเด็นคำถามที่จำเลยสงสัย ไม่ว่า คสช.ทราบชื่อนามสกุลจริงเขาได้อย่างไร ชุดปฏิบัติการที่บุกจับกุมเขาบนถนนขณะกำลังเดินทางได้อย่างไร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีการสืบข้อเท็จจริงกันในคดี 112 ซึ่งพิจารณาคดีแบบปิดลับ

“เรียกรายงานตัวอีกครั้งก็จะอารยะขัดขืน”
23 พ.ค.2559 ถึงคราวที่จำเลยในคดีนี้จะขึ้นให้การในคดีฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. หลังถูกขังในเรือนจำเป็นเวลา 1 ปี 11 เดือน สิรภพหรือรุ่งศิลา ถูกเบิกตัวมาจาก แดน 6 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายังศาลทหาร เขาถูกใส่ตรวน (กุญแจมือ) ที่ข้อเท้า ขึ้นให้การในชุดนักโทษ เสียงดังฟังชัด ตลอด 2 ชั่วโมง โดยผู้พิพากษาไม่อนุญาตให้ใครจดบันทึก

เขาให้การว่ามีภูมิลำเนาอยู่นนทบุรี จบเอกวารสารศาสตร์ แต่ทำอาชีพออกแบบสถาปัตย์และรับเหมาก่อสร้าง ขณะถูกจับกุมมีโปรเจ็คท์ใหญ่อยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีลูกน้องราว 50 ชีวิต ทหารตำรวจบุกค้นบ้านและคุมตัวลูกๆ ไปสอบในค่ายทหารก่อนปล่อย เขาเองถูกควบคุมตัวที่เขตจังหวัดกาฬสินธ์ ขณะนั่งแท็กซี่จะเดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เขาถูกทหารคุมตัวรวม 7 วัน พร้อมคนขับรถและคนนำทางอีก 1 คน ซึ่งเขาไม่รู้จักมาก่อน ถูกนำตัวไปไว้ที่ค่ายทหารในขอนแก่น มีการสอบสวนเบื้องต้น จากนั้นมีหน่วยการข่าวของส่วนกลางบินไปสอบสวนเขาด้วยตัวเอง ก่อนนำตัวขึ้นรถตู้มาส่งตัวให้กับทหารที่สโมสรกองทัพบกในกรุงเทพฯ การสอบสวนในกรุงเทพฯ รอบแรก มีประธานเป็นตำรวจยศ พล.ต.ต. ในปอท. นอกจากนั้นมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ไม่ว่า ดีเอสไอ อัยการสูงสุด เจ้าหน้าที่การข่าวกองทัพภาคที่1 ฝ่ายกฎหมายของ คสช. ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ฝ่ายข่าวของกอ.รมน. รวมแล้วประมาณ 30 คน ทำการสอบสวน 3 ชั่วโมงกว่า

สิรภพให้การกับพวกเขาว่า เป็นนักเขียน เขียนบทกวีการเมือง บทวิเคราะห์การเมืองและการทหารมาตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต คำถามของผู้สอบเน้นข้อข้องใจในบทความเกี่ยวกับการต่อต้านการัฐประหาร กลยุทธ์ทางทหาร และแนวคิดทางการเมือง

“จากการพูดคุยแลกเปลี่ยน มีเจ้าหน้าที่บางหน่วยแจ้งว่าได้ติดตามบทความข้าพเจ้ามาตั้งแต่ 2552” สิรภพเบิกความต่อศาล

เขาบอกว่าหลังจากนั้นยังมีดีเอสไอ มาทำการสอบสวนเพิ่มเติม จากนั้นก็มีฝ่ายข่าวของกองทัพและคสช.มาพูดคุย ก่อนที่คืนสุดท้ายจะเป็นการสอบสวนใหญ่ ราว 50 คน โดยประธานเป็น พล.อ.คนหนึ่งที่อยู่ในคสช.ที่มาสอบด้วยตัวเอง ประธานได้กล่าวกับเขาว่า ติดตามบทความของเขามาตลอดและมีหลายชิ้นที่ได้นำเข้าไปหารือในวอลล์รูมกองทัพเวลาเกิดเหตุการณ์ไม่สงบหลายครั้งไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใดสีใด

จากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวให้ตำรวจกองบังคับการปราบปราม

นอกจากนั้นในการให้การต่อศาลนี้เขายังมีโอกาสได้อธิบายถึงเหตุผลที่เขาไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารว่า เขาต่อต้านการรัฐประหารมานานแล้ว เป็นรูปธรรมตั้งแต่ปี 2549 ผ่านการเขียนบล็อก เพราะเห็นว่าข้ออ้างต่างๆ เรื่องคอร์รัปชันหรือการหมิ่นเบื้องสูง ล้วนเป็นข้ออ้างยอดฮิตทุกครั้งในการรัฐประหารเพื่อทำลายการปกครองของรัฐบาลที่มาจากประชาชน เขาเห็นว่า หากมีปัญหาไม่ว่าปัญหาใดๆ ก็ควรแก้ไขปัญหาภายใต้กติกาประชาธิปไตย และให้ประชาชนเป็นคนตัดสินผ่านการเลือกตั้ง

และดังนั้น เมื่อเขาแสดงจุดยืนมาเนิ่นนาน เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งเขาจึงไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับคณะรัฐประหาร เขากล่าวเบิกความด้วยเสียงดังฟังชัด ศาลนัดสืบพยานนัดต่อไปในวันที่ 7 ก.ค.2559

“ข้าพเจ้าต่อต้านการรัฐประหารในทางความคิดด้วยความสันติมาตลอด ในเมื่อเกิดการรัฐประหาร ณ เวลานั้น ข้าพเจ้าจึงแสดงกระทำอารยะขัดขืน ไม่ยอมรับอำนาจของกลุ่มบุคคลที่ใช้กำลังอาวุธเข้ามายึดล้มล้างการปกครองของรัฐบาลที่มาจากประชาชน เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”

“ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า คณะรัฐประหาร หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คณะกบฏ จะรักษาอำนาจอยู่ได้นาน จึงเลือกที่จะปกป้องสิทธิและเสรีภาพ และรัฐธรรมนูญ โดยสันติอหิงสา โดยไม่ใช้ความรุนแรงด้วยการไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับคณะกบฏดังกล่าว”

เขายังตอบทนายถามด้วยว่าหากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกและมีคำสั่งเรียกเขาไปรายงานตัวอีก เขาจะไปหรือไม่

“หากมีรัฐประหารอีกและมีคำสั่งเรียกรายงานตัวอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันว่าจะไม่ไป”

ที่น่าสนใจคือ วันเดียวกันกับที่เขาขึ้นเบิกความในคดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ฯ ศาลฏีกาก็มีคำสั่งรับคดีที่เขาและคนอื่นๆ ในกลุ่มพลเมืองโต้กลับฟ้องคสช.ในมาตรา 113 ไว้พิจารณา พอดิบพอดี