วันเสาร์, พฤศจิกายน 12, 2559

สภาพลูกแมวตกน้ำของรัฐไทย






เห็นคนเก็บคำพูดของประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องผลการเลือกตั้งในสหรัฐมาแพร่ขยายกันมาก ยังกับปรากฏการณ์

คำพูดที่ว่า “ยินดีกับผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง” และ “ก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจของประชาชน” มันช่างย้อนแย้งเสียนี่กระไร

ก็ประยุทธ์มิใช่หรือที่ไม่ยินดีกับผู้ได้รับเลือกตั้งเมื่อสองปีกว่ามานี้ และไปยินดีกับม็อบข้างถนนซึ่งผสมโรงกันกับเหล่าคนที่อิงอำนาจบารมีเหนือกว่าอาณัติประชากร และพรรคการเมืองที่หาทางลัดหลังจากแพ้เลือกตั้งดักดาน

แล้วประยุทธ์นี่แหละ พร้อมด้วยพี่ๆ และพวกพ้องนักรัฐประหารอาชีพ ที่ไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการตัดสินใจของประชาชน จึงทำการยึดอำนาจเอามาเป็นของตนและคณะทหาร ที่เพิ่มงบประมาณเป็นว่าเล่นถึงกว่า ๒ แสนล้านสำหรับปีที่จะถึง

พอดีกับเป็นจังหวะที่ประเทศไทยพบกับอาการ ‘น้ำเต้าน้อยถอยลง’ ทางด้านการกินดีอยู่ดีถึงขั้นวิกฤติ เมื่อกลุ่มชนสาขาอาชีพซึ่งถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติมาแต่ไหนแต่ไร ‘ชาวนาไทย’ กำลังบักโกรกบักอาน ผลิตผลข้าวเปลือกราคาถูกกว่าสินค้าชำร่วย หมี่แห้ง ‘มาม่า’

แฟชั่นช่วยชาวนาระบาดใหญ่ หลังจากอดีตนายกฯ หญิง เปิดฉากขายตรง นำข้าวจากชาวนามาตวงใส่ถุงช่วยขายให้ชาวเมือง ครั้งแรกที่ศูนย์การค้าแฟชั่นไอสแลนด์กลางกรุง ขายหมดเกลี้ยง ๑๐ ตัน ภายในชั่วโมงเดียว

ครั้งที่สองเมื่อวานนี้เองที่หน้าห้างอิมพีเรียล สำโรง สมุทรปราการ อีกสิบตันขายหมดภายในไม่ถึงชั่วโมง (จากเพจแฟนขลับว่าหมดภายใน ๓๔ นาฑี บางเวอร์ชั่นบอก ๓๖ นาฑี) ข้อสำคัญประชาชนล้นหลามไปร่วมกิจกรรมขายข้าวช่วยชาวนาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ผู้คนมากมายอย่างนั้นงานนี้ ‘TV24 สถานีประชาชน’ เล่าว่าอดีตนายกฯ หญิงเลยต้องคว้าไมโครโฟนกล่าวปราศรัย “อยากเรียนว่ารอบแรกเรา มีเจตจำนงต้องการที่จะช่วยเหลือชาวนา จึงได้ไปซื้อข้าวบางส่วนจากชาวนามาช่วยขาย

แต่ช่วงหลังได้มีพี่น้องชาวนาได้ติดต่อ อดีต ผ่าน สส.ในพื้นที่ อยากให้ช่วยขายอีก เราจึงคิดว่าสิ่งมีที่ดีที่สุดคือการทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการช่วยเหลือชาวนาโดยขายข้าวในฐานะคนไทยคนหนึ่ง โดยวันนี้มีตัวแทน ชาวนาจากทั้ง ๕ จังหวัดมาขายด้วย”

คราวที่แล้วขายกิโลกรัมละ ๒๐ บาท คราวนี้ก็เหมือนกัน ขายถุง ๕ กิโล ราคา ๑๐๐ บาทขาดตัว โดยที่มีอาสาสมัครไปช่วยกันตวงใส่ถุงล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อคืน ไม่เหมือนคราวที่แล้วนายกฯ ปูต้องตวงเอง (มิน่าคราวนี้ขายหมดไวกว่าคราวก่อนครึ่งของเวลา)

“เรามีความตั้งใจจะช่วยเหลือชาวนาจริงๆ และเป็นการส่งกำลังใจซึ่งกันและกัน และตนก็รู้สึกดีใจที่หลายหน่วยงานตื่นตัวออกช่วยเหลือชาวนา” ยิ่งลักษณ์กล่าวตอนหนึ่ง





มิน่า (อีกละ) เห็นมีทหารลงพื้นที่ไล่ซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคา ‘ช่วยเหลือ’ เกวียนละหมื่นกว่าบาท (นัยว่าเป็นสองเท่าของราคาตลาดขณะนี้)

ต่างกับคณะยิ่งลักษณ์ตรงที่ คณะซื้อข้าวของทหารไม่พลาดมีป้ายไวนิลขนาดใหญ่ขึงเป็นฉากหลังให้ชุดลายพรางได้ถ่ายรูปเซลฟี่กับชาวนา (ขณะที่ของยิ่งลักษณ์มีเพียงแผ่นโฟมเขียนด้วยมือ รูปปู “มาช่วยขายข้าว ช่วยชาวนาจ้า”)

นี่ไม่ได้กระแนะกระแหน หรือ imply ว่าบรรยากาศคล้ายตอนพรรคการเมืองหาเสียงเลือกตั้งกันหรอกนะ แต่ว่าก็มีพรรคการเมืองอีกฝ่ายออกมาทำกิจกรรม ‘ช่วยชาวนา’ บ้างเช่นกัน มีการปักธงชาติระนาว จนบางคนสัพยอกว่า กปปส. กลับมาลงทุ่งละหรือ เดชะบุญไม่มีใครห้อยนกหวีดมาด้วย





นี่รายละเอียดจากไทยรัฐ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, พร้อมด้วย...ร่วมเกี่ยวข้าวกับชาวนาจิตอาสาและประชาชนในพื้นที่เขตคลองสามวา ในโครงการเกี่ยวข้าวก้าวตามรอยพ่อ

เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่นาข้าวบริเวณถนนไมตรีจิต ๗ เพื่อเกี่ยวข้าวเป็นรูปเลข ๙ บนทุ่งนาข้าวประมาณ ๔ ไร่”

(http://www.thairath.co.th/content/778556)

อดีตนายกฯ ราบ ๑๑ กล่าวปาฐกถาด้วยเหมือนกันว่า “เป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เพื่อย้ำเตือนคนไทยว่าเราต้องไม่ทิ้งรากฐานของเรา ข้าว การเกษตร และผืนนาคือหัวใจของสังคม และประเทศไทย

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ได้นำการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี” (ไม่มีคอนดัคเตอร์) แฟนขลับ ปชป. คนหนึ่งคุยให้ฟังว่า “สุดยอด”

ใครเห็นภาพอดีตนายกฯ สุดหล่อเสื้อเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ จะต้องซาบซึ้งตรึงใจและปลาบปลื้มในความเฉียบแหลม ในเมื่อออกไปเกี่ยวข้าวครั้งเดียวได้เรื่องสองงาน ทั้ง ‘รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ’ และ ‘ช่วยเหลือชาวนา’ พร้อมกันยังกะแพ็คเกจ

แต่ทว่าสมัยนิยมคล้าย ‘หาเสียงเลือกตั้ง’ หัวหน้ารัฐประหารอ้าง ‘ฟังเสียงประชาชน’ และทหารทำประชารัฐ (นิยม) ก็ยังไม่ได้ให้บรรยากาศประชาธิปไตย ในเมื่อสถานการณ์ทางกระบวนยุติธรรมยังย้อนหลังไปศตวรรษที่ ๑๙ เช่นเดิม






เมื่อต้นอาทิตย์ศาลฎีกาตัดสินคดี ‘อาจารย์ตุ้ม’ สุดสงวน สุธีสร ให้ ‘กักขัง’ เป็นเวลา ๑ เดือน ในความผิดฐาน ‘ละเมิดอำนาจศาล’ ในการวางหรีดประท้วงคำตัดสินของศาลแพ่งเห็นพ้องคำฟ้องของ กปปส. เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

แม้นว่าศาลเพียงลงโทษ ‘กักขัง’ แทน ‘จำคุก’ และยืนตามกำหนดเวลาเพียง ๑ เดือนต่อระวางโทษสูงสุด ๖ เดือน หากแต่ในทางหลักการของกฎหมายอันเป็นสากล ย่อมจัดว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างบกพร่องต่อหลักสิทธิมนุษยชน ไม่สอดคล้องกับบรรยากาศในทางประชาธิปไตย

ดร. ปิยบุตร แสงกนกกุล นักกฎหมายมหาชน ม. ธรรมศาสตร์ แห่งกลุ่มนิติราษฎร์ ได้ให้ความเห็นต่อการตัดสินคดี อจ.ตุ้มนี้ไว้ว่า ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑ (๑) นั้น

“ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตาม ป. วิแพ่ง มาตรา ๓๑ เป็นกรณีพิเศษที่กฎหมายอนุญาตให้ศาลดำเนินคดีได้ด้วยตนเอง ศาลมีอำนาจสั่งได้เองตามมาตรา ๓๓ ได้แก่ สั่งไล่ออกจากศาล สั่งปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท สั่งจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน”

“ศาลตีความขยายคำว่า ‘ในบริเวณศาล’ ออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะห้องพิจารณาคดี แต่ยังรวมไปถึงอาคารศาล อาณาบริเวณศาล รวมไปถึงนอกรั้วศาลด้วย

ล่าสุด ศาลได้ขยายความมาถึงการถ่ายรูปอาคารศาล แล้วมาโพสลงเฟสบุคว่า เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล...”

ซึ่ง อจ.ปิยบุตรตั้งข้อสังเกตุว่า “น่าสงสัยว่าขัดกับหลักการแบ่งแยกอำนาจหรือไม่...ถ้ามีแค่สั่งไล่ออกจากศาลก็พอเข้าใจได้ แต่กรณีนี้ศาลมีอำนาจสั่งปรับ จำคุกได้ด้วย...

ในหลายคดี ผู้กระทำนั้นโดนลงโทษในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล โดยขยายความคำว่า ประพฤติปฏิบัตตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลออกไป ซึ่งผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง”

(https://www.facebook.com/piyabutr2475/posts/10153954247220848)

“กรณีอาจารย์ตุ้มนั้น ถูกลงโทษในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ไม่ใช่ดูหมิ่นศาล

ผมไม่เห็นด้วยที่ศาลจะขยายคำว่า ‘ในบริเวณศาล’ ออกไปนอกรั้วศาล การชุมนุมหน้าศาล นอกรั้วศาล ไม่ได้ขัดขวางการดำเนินคดีใดๆ ของศาลเลย

หากองค์คณะศาลแพ่งที่ตัดสินคดี (ที่อาจารย์ตุ้มและพวกไม่เห็นด้วยนั้น) ไม่พอใจ ก็ต้องหาทางดำเนินคดี จะใช้ ‘ดูหมิ่นศาล’ หรือจะใช้ ‘หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา’ ก็ได้”

รูปการณ์ก็คือ ศาลไทยเดี๋ยวนี้ใช้วิจารณญานด้วยตรรกะที่ขาดความสมดุลในทางหลักกฎหมายสากล ซึ่งให้ความสำคัญแก่สิทธิส่วนบุคคลก่อนอื่นใด ก่อนแม้กระทั่งที่จะเข้าถึงเนื้อหาแห่งกฎหมาย

การตีความกฎหมายที่ผลออกมาสามารถโต้แย้งด้วยเหตุและผลว่าไม่เป็นกลาง หรือ impartial นั้นศาลไทยประพฤติปฏิบัติบ่อยๆ ในช่วงของความสั่นคลอนในวิถีการเมืองตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

เมื่อการแบ่งแยกแตกขั้วรุ่มร้อนและรุนแรง จนรัฐไทยกลายสภาพจากความหวังจะได้เป็นเสือเศรษฐกิจแห่งภูมิภาค มาสู่สภาพลูกแมวตกน้ำอันเต็มไปด้วยตัวเงินตัวทองคอยแต่จะขย้ำซ้ำ