หมายเหตุ ข้อเขียนนี้เป็นการถอดเนื้อหาและเรียบเรียง จากบทความตีพิมพ์ในภาคส่วนของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ชื่อ
Spectrum
ฉบับประจำวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ เขียนโดย นันท์ชนก วงษ์สมุทร์
#freeyuyee เป็นป้ายบันทึก (hashtag) บนหน้าทวิตเตอร์อันหนึ่งที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
เนื่องจากมีดารา นักร้อง นักกีฬา คนสำคัญระดับนานาชาติจำนวนมาก อาทิ ชากิร่า
นักร้องหญิงเลือดโคลัมเบียน อาเลฮานโด แซ้งซ์ นักร้องชื่อดังของสเปน ราฟาเอล นาดาล
นักเทนนิสชั้นนำของโลก เชื้อสายสเปน ไลโอเนล เมสซี ดาวฟุตบอลของอาร์เจ็นติน่า นำไปใช้ขยายต่อกันอย่างพรั่งพร้อม
แต่อาจไม่ค่อยได้รับการใส่ใจมากนักในประเทศไทย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสลดกระทบต่อสวัสดิภาพเด็กน้อยลูกครึ่งสเปน-ไทย
๓ คน อายุ ๑๑ ขวบ ๘ ขวบ และ ๓ ขวบ ผู้ที่มารดาวัย ๔๒ ปี อดีตนางแบบชื่อดังของไทย ชัชชยา
‘ยู่ยี่’ เกสตา รามอส ถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ในทัณฑสถานหญิงไทยมาแล้วหนึ่งปีเต็ม
ในข้อหายาเสพติดที่ไม่ปรากฏหลักฐานของกลาง
หากแต่จำเลยเซ็นรับสารภาพเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าเสร็จแล้วจะปล่อยตัว
ที่ซึ่งลูกชายคนโตอายุ ๑๑ ขวบ
เสาะหาข่าวและเรื่องราวเกี่ยวกับคดีของมารดาทางอินเตอร์เน็ตอ่านแล้วพิมพ์เก็บไว้ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
วันหนึ่งเด็กชาย Sarit ตั้งคำถามกับพ่อว่า “ถ้าเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพบยาเสพติด
(ในครอบครองของมารดา) ที่สนามบิน แล้วทำไมแม่ยังติดคุกอีกล่ะ”
กับอีกคำถามจาก Sahapol ลูกชายคนกลางอายุ ๘ ขวบ ที่ทำให้ผู้เป็นบิดาต้องอึ้ง
ว่า “ปาป้า ใครล่ะจะช่วยพ่อได้ ถ้าหากตำรวจเป็นคนไม่ดี แล้วเราจะไปพึ่งใคร”
ใครล่ะจะช่วย ฟรานซิสโก รามอส ฉายา ‘แฟร้งค์แห่งป่า’
สัตวแพทย์หนุ่มผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ของช่อง ดิสคัพเวอรี่ชื่อ ‘Wild
Frank’ ซึ่ง ๒๔ ประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยแพร่ภาพประจำ สามีของยู่ยี่
เขาบอกว่าเขาพาลูกๆ ไปเยี่ยมแม่ที่ทัณฑสถานหญิงทุกวัน
กระนั้นสภาพของยู่ยี่ดูไม่ได้ เธอหดหู่มากจนเชื่อว่าสักวันเธออาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย
ท่ามกลางความมืดมนในระบบกฏหมายและการบังคับใช้ของไทย
มีแต่การได้เล่าความนัยแห่งคดีของยู่ยี่ผ่านออกสื่อฟ้องต่อทั่วโลกเท่านั้น จึงจะพอมีความหวังต่อการร้องเรียนให้ศาลนำคดีมารื้อพิจารณาใหม่
อีกทั้งเมื่อสองเดือนที่แล้วคุณแฟร้งค์ได้เริ่มการรณรงค์ล่ารายชื่อ
๕ แสนรายบนเว็บ Change.org สำหรับการร้องเรียนให้ทางการรัฐบาลไทยนำคดีของยู่ยี่กลับมาพิจารณาใหม่
การรณรงค์ได้รับการตอบรับสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากชาวสเปน
และขณะนี่ได้มีคนเข้าร่วมลงชื่อแล้ว ๓๕๗,๗๐๐ ราย
คดีของยู่ยี่เริ่มเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ขณะยู่ยี่อยู่บนเครื่องบินจากเวียตนาม ๒๐ นาฑีก่อนร่อนลงสู่ท่าอากาศยาน แฟร้งค์ได้รับโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งบอกให้รีบไปยังสนามบินโดยด่วน
เพราะยู่ยี่มียาเสพติด
แฟร้งค์ไปถึงสนามบิน ๑๐ นาฑีหลังจากเครื่องลง
ถามเจ้าหน้าที่ว่าขอดูยาเสพติดที่ว่ายู่ยี่มีมาได้ไหม ตำรวจบอกว่าไม่ได้ ยาได้ผ่านการตรวจสรรพคุณของเจ้าหน้าที่แล้ว
กองบรรณาธิการสเป็คตรัมได้เห็นเอกสารการจับกุมยู่ยี่ที่แอร์ปอร์ต
ระบุว่าเธอมียาเสพติดโคเคนในครอบครอง ๕ มิลลิกรัม มูลค่าตามท้องถนนแค่ ๑๒ บาท
ทว่าศาลไทยได้ตัดสินจำคุกยู่ยี่ ๑๕ ปี พร้อมค่าปรับอีก ๑.๕
ล้านบาท ข้อหามียาเสพติดในครอบครอง ๒๕๑ มิลลิกรัม กับความผิดฐานมีสัตว์ป่าไว้ครอบครองเช่นกัน
ระวางโทษจำคุกเพิ่มอีกสามเดือน ที่ต่อมาภายหลังเพิ่มข้อหานำเข้ายาเสพติดต้องห้าม
ที่ใช้อ้างปฏิเสธการยื่นประกันตัวขอปล่อยชั่วคราวหลายครั้งด้วย
ที่ท่าอากาศยานนั่นเองเมื่อแฟร้งค์ไปเข้าห้องน้ำก็ได้พบกับชายไทยคนหนึ่งท่าทางเหมือนเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ
เข้าไปบอกกับเขาว่า ยังจำได้ไหมว่าเขาไม่ได้จ่ายเงิน ๔ แสนบาท
“เอกสารคำฟ้องในสาลที่สเป็คตรัมได้เห็น
เจ้าหน้าที่ตำรวจให้การว่าเพื่อนตำรวจของเขาได้ยินเสียงร้องในห้องน้ำหญิงเขาเลยเข้าไปดู
พบยู่ยี่อยู่ในนั้นเขาจึงได้ค้นกระเป๋าถือของเธอ
พบยาเสพติดโคเคนอยู่ในห่อช็อคโกแล็ตเอ็มแอนด์เอ็ม
ที่สถานีตำรวจ ยู่ยี่ถูกปฏิเสธไม่ให้ได้พบทนาย
และไม่ยอมให้มีการตรวจปัสสาวะ ทั้งที่เธอร้องขอ
เบื้องต้นเอยอมรับสารภาพว่าโคเคนเป็นของเธอ
มันตกค้างมาแต่เมื่อตอนไปเวียตนาม เมื่อเธอให้การต่อศาลเมื่อถูกดำเนินคดีเธอบอกว่า
ปริมาณโคเคนน้อยมากตำรวจแนะให้เธอเซ็นรับสารภาพเสียแล้วจะปล่อยตัวไป
ต่อมาเธอแก้ไขคำให้การว่า เธอรู้สึกไม่สบายถึงได้เข้าไปในห้องน้ำ
ในนั้นมีคนแปลกหน้าผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเหลือโดยแนะให้เธอกินช็อคโกแล็ตและยื่นซองเอ็มแอนด์เอ็มให้
ทันทีที่เธอเซ็นรับสารภาพที่สนามบินเธอถูกใส่กุญแจมือแล้วนำตัวไปยังสถานีตำรวจดอนเมือง
เธอถูกคุมขังอยู่สองวัน คุณรามอสสามีจ่ายค่าประกันไป ๑
หมื่นบาทเพื่อที่จะได้โทรศัพท์มือถือของเขาคืน
จากที่ถูกตำรวจยึดเอาไปเมื่อเขาถ่ายภาพเหตุการณ์จับกุมตัวยู่ยี่บางตอน พอได้คืนก็ปรากฏว่าเม็มโมรี่ค้าร์ดได้หายไปเสียแล้ว
คุณรามอสมีกำหนดจะต้องเข้าให้การในวันที่สองของการพิจารณาคดี
ก็ถูกยกเลิกไป ฝ่ายจำเลยมีเพียงยู่ยี่คนเดียวที่ให้การต่อสู้ให้แก่ตนเอง...
หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ยู่ยี่เข้าไปติดคุกแล้ว
ทนายของเธอได้ขอถอนตัว ให้เหตุผลว่าเขากลัวและไม่อยากเจอกับปัญหายิ่งกว่านี้
ทนายคนต่อมาก็อยู่ไม่นานขอถอนตัวเช่นกัน อ้างว่าคดีนี้ “ยุ่งยากมาก”
คุณรามอสเชื่อว่าประวัติการติดยาของยู่ยี่ในอดีตถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานปรักปรำเธออย่างง่ายๆ
แม้ว่าเขายืนยันว่าเธอเลิกเสพติดมาเป็นเวลา ๑๓ ปีเต็มแล้ว
อีกทั้งเธอได้เข้ารับการรักษาในรีแฮบฯ เข้าร่วมโครงการเอเอ (คนติดเหล้านิรนาม)
และโครงการยาเสพติดนิรนาม (Narcotics Anonymous)
“ผมไม่ได้บอกว่าในอดีตยู่ยี่เธอเป็นนักบุญนะ”
คุณรามอสยืนยัน “แต่ผมประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าในวันที่ถูกจับกุมยู่ยี่ไม่ได้เสพโคเคนเลยแม้แต่นิด”
“วิถีอย่างไทยๆ คุณต้องหุบปาก นิ่งฟังและนั่งรอเท่านั้น
แต่นี่มันปีหนึ่งแล้วนะ ลูกๆ ของผมจำเป็นต้องอยู่กับแม่ นี่มันไม่ใช่ระบบยุติธรรมหรอก
นี่มันคอรัปชั่น พยายามปกปิดความผิดพลาดของตำรวจ
หลังจากที่ยื่นคำร้องไปแล้วหกครั้ง
และได้เห็นชัดว่าใครคนหนึ่งที่มีอิทธิพลล้นหลามต้องการให้เธอติดอยู่ในนั้นนานๆ
เราทำได้อย่างเดียวเวลานี้คือออกมาพูดกับสื่อ
แม้มันจะทำให้ผมถูกกระสุนฝังในหัวก็ตาม”
‘ใครคนหนึ่งที่มีอิทธิพลล้นหลาม’ ซึ่งคุณแฟร้งค์พาดพิง
น่าจะโยงใยกับการถูกทวงถามเงิน ๔ แสนบาทโดยชายนอกเครื่องแบบในห้องน้ำที่แอร์พอร์ตก็ได้
แฟร้งค์และยู่ยี่ สองสามีภรรยาเป็นนักกิจกรรมกู้ภัยสัตว์ป่าด้วยกันมากว่าสิบปี
ด้วยการเป้นอาสาสมัครของสมาคมพิทักษ์สัตว์ป่าแห่งประเทศไทย เขาช่วยกันช่วยชีวิตและปลดปล่อยสัตว์ป่าแล้วกว่าพันตัว
เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ทั้งสองได้รับแจ้งทางโทรศัพท์ถึงการกักขังลูกเสือดาวตัวหนึ่ง
จึงไปช่วยเหลือออกมาแล้วส่งให้กับสวนสัตว์ดุสิต
ลูกเสือดาวมักลักลอบนำส่งยุโรปโดยซ่อนในกระเป๋าสัมภาระทำเงินได้ตัวละ
๑ พันยูโร (ราว ๓๘๐,๐๐๐ บาท) ถ้าเป็นเสือดำ หรือที่ลายจุดสวยงามเป็นระเบียบ สนนราคาจะสูงขึ้นไปอีก
๕ เท่า ราคาลูกเสือดาวพันธุ์อินโดจีนที่ยู่ยี่กับแฟร้งค์ช่วยออกมาได้นั้นอยู่ที่ครึ่งล้านบาท
แต่ปรากฏว่างานนี้ทั้งสองไปขวางทางผู้ยิ่งใหญ่ในไทยคนหนึ่งเข้าโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเรารู้ว่าลูกเสือตัวนี้เขาจับไว้ส่งให้ตามใบสั่งผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
เราก็คงไม่ไปช่วยออกมาหรอก” แฟร้งค์เปิดใจ
“หนึ่งอาทิตย์หลังการช่วยปลดปล่อยลูกเสือดาวตัวนี้
มีตำรวจในเครื่องแบบสองนายขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาสองสามีภรรยาที่บ้าน เรียกร้องจะเอาเงิน
๔ แสนบาท โดยไม่แจ้งว่าเป็นค่าอะไร
ต่อมาอีกหลายอาทิตย์ตำรวจยกกำลังเข้าค้นบ้าน
ตั้งข้อหาว่ามีสัตว์ป่าต้องห้ามไว้ในครอบครอง
มิพักที่ทั้งสองพยายามอธิบายว่าสัตว์ราว ๕๐ ตัวเหล่านั้น
ช่วยชีวิตมาจากการบาดเจ็บและอยู่ในระหว่างพักรักษาก่อนปล่อยกลับเข้าป่าอีกครั้ง
ตำรวจไม่ฟัง ยึดเอางูสี่ตัวและนกฮูกหนึ่งตัวไป
เลขาธิการใหญ่สมาคมผู้คุ้มครองสัตว์ป่า รอเจอรื โลหะนันท์
พยายามให้ข้อเท็จจริงแก่ตำรวจว่ายู่ยี่เป็นอาสาสมัครของสมาคม ได้รับการยกเว้นจากกฏหมายคุ้มครองสัตว์ป่าให้เก็บสัตว์เหล่านั้นไว้เพื่อเยียวยาได้
ทั้งนี้โดยประสานกับกรมวนอุทยาน
แต่ว่า “ปัญหาของกฏหมายไทยอยู่ที่มันเลือกปฏิบัติกันได้” คุณรามอสบ่น
“เจ้าหน้าที่ทำเป็นมองไม่เห็นกับคนที่มีเส้นสายโยงสูง และพวกลักลอบจับสัตว์ป่า”
หนึ่งเดือนหลังการบุกเข้าค้นบ้าน
ยู่ยี่กับแฟร้งค์ได้รับการเยือนจากตำรวจอีกครั้ง คราวนี้มานอกเครื่องแบบ สวมบู๊ท
เสื้อขาว กางเกงยีน เรียกเงินสี่แสนอีก
“ผมถามว่าทำไมเราต้องจ่ายด้วยล่ะ” รามอสเล่า “เขาบอกว่าคิดหน่อยสิ
คิดหน่อย จากนั้นก็บอกว่าลูกเสือดาวตัวนั้นจับไว้เพื่อส่งให้ใคร (ที่สำคัญ) คนหนึ่ง
เงินที่เรียกเก็บเป็นค่าเสียหายจากการที่ปล่อยลูกเสือตัวนั้นไป”