บทความตอนที่สองของซีรี่ส์
‘ประเทศไทยในกับดักรายได้ปานกลาง’
โดย รศ.ดร.พิชิต
ลิขิตกิจสมบูรณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ‘โลกวันนี้วันสุข’
ฉบับวันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2558
ประเทศไม่พัฒนาจำนวนหนึ่งสามารถยกระดับจาก
“ประเทศยากจน” ไปเป็น “ประเทศรายได้ปานกลาง” ได้ในเวลาไม่นานก็เพราะ
ในระยะเริ่มแรกประเทศเหล่านี้มักจะมีทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานเหลือเฟือ
หากรัฐบาลมีเสถียรภาพและนโยบายชัดเจนด้วยการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐาน
ระดมทรัพยากร ส่งเสริมเกษตรกรรมเพื่อส่งออก และร่วมกับทุนต่างชาติที่นำทุนและเทคโนโลยีเข้ามา
ก็จะสามารถพัฒนาฐานอุตสาหกรรมขึ้นได้ ก่อให้เกิดการจ้างงาน
และการยกระดับรายได้ของประชากร
ประเทศไทยก็ได้ผ่านเส้นทางนี้โดยในช่วงแรกจากต้นทศวรรษ
2510 ถึงปลายทศวรรษ 2520 เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้า เน้นให้ทุนต่างชาติ
(ส่วนใหญ่เป็นทุนญี่ปุ่น) มาร่วมลงทุนกับทุนในประเทศ ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมบริโภคสนองตลาดในประเทศ
แต่พอถึงกลางทศวรรษ
2520 ตลาดภายในประเทศเริ่มชะลอตัว
เศรษฐกิจขยายตัวช้าลง ซ้ำเติมด้วยวิกฤตราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ประเทศไทยจึงได้ปรับเปลี่ยนไปเน้นอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก
ปลายทศวรรษ 2520
เกาหลีใต้และใต้หวันเผชิญกับการกีดกันทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาและยุโรป
จึงได้ย้ายฐานการผลิตอุตสาหกรรมมายังประเทศไทย
ทำให้ฐานอุตสาหกรรมส่งออกของไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว
มีการนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยมาใช้ประโยชน์ พัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลังงานในเขตอุตสาหกรรมชายฝั่งตะวันออก
ทำให้ช่วงปี 2528-2539
เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในโลก เฉลี่ยร้อยละ 12.4
ต่อปี ประเทศไทยมุ่งหน้าจากสถานะ “ประเทศยากจน” ไปสู่
“ประเทศรายได้ปานกลาง” อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนกำลังจะเป็น “เสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย”
อัตราดอกเบี้ยต่ำในเศรษฐกิจโลกประจวบกับความผิดพลาดทางนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยนำมาซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจปี
2540 ซึ่งกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญ
เพราะเมื่อมองย้อนหลังจากวันนี้
จะเห็นได้ว่า ปี 2540 คือ จุดเริ่มต้นของ “กับดักรายได้ปานกลาง” ของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
วิกฤตเศรษฐกิจ 2540
ทำให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 เป็นผลให้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพในระบบรัฐสภาเป็นครั้งแรก
สามารถกอบกู้เศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้ในเวลาไม่นาน รัฐบาลมีความพยายามที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายด้าน
เศรษฐกิจไทยระยะนี้แม้จะฟื้นตัวดี แต่กลับมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ
5-7 ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าก่อนวิกฤต 2540 อย่างมาก
นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก่อให้เกิดการต่อต้านจากชนชั้นปกครองเก่าที่มีผลประโยชน์ครอบงำเศรษฐกิจไทยมายาวนาน
พวกเขาได้ก่อรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 ยืดเยื้อเป็นวิกฤตการเมืองต่อมาจนเป็นรัฐประหารอีกครั้งเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 แทนที่ด้วยการปกครองแบบเผด็จการทหารเต็มรูปแบบ
ตลอดช่วงเวลานี้ เศรษฐกิจไทยก็ยิ่งอ่อนแอลงและมีการเจริญเติบโตลดลงจนเหลือเฉลี่ยร้อยละ
3-4 ต่อปีเท่านั้น
ประเทศไทยปัจจุบันแสดงอาการป่วยของ
“กับดักรายได้ปานกลาง” อย่างชัดเจนคือ ค่าครองชีพและค่าจ้างแรงงานสูง
แต่ผลิตภาพและทักษะของแรงงานไม่ยกระดับ สินค้าอุตสาหกรรมส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
การส่งออกชะงักงันไม่ขยายตัว ส่วนแบ่งของการส่งออกไทยในตลาดการค้าโลกไม่เพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตในระดับต่ำต่อเนื่อง สภาพโครงสร้างพื้นฐานที่เก่า
ล้าสมัยและไม่เพียงพอ ทั้งถนน ระบบราง ท่าเรือ สนามบิน สาธารณูปโภค โทรคมนาคม
เพราะไม่ได้มีการโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งระบบมานานร่วมสามสิบปี
เงื่อนไขของการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้หลุดพ้นจาก
“กับดักรายได้ปานกลาง” คืออะไร?
ข้อเสนอ
“ทางเศรษฐกิจ”
ค่อนข้างจะเป็นแนวทางเดียวกันจากประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันของหลายประเทศที่สามารถข้ามพ้น
“กับดักรายได้ปานกลาง” ไปได้ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ใต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง
เป็นต้น
รัฐบาลจะต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งระบบ
เพื่อยกระดับความสามารถในการรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับสูง ถนนหลวง
ระบบรางคู่และรถไฟความเร็วสูง สนามบิน ท่าเรือทั้งในประเทศและท่าเรือน้ำลึก
โทรคมนาคมความเร็วสูงและทั่วถึง แหล่งพลังงานที่เหมาะสมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้ก็โดยการที่รัฐบาลมีฐานะการคลังมั่นคง
สามารถแบกรับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นได้ มีสถานะเป็นที่เชื่อถือยอมรับในตลาดเงินทุนของโลก
ประกอบกับการร่วมลงทุนจากต่างชาติที่มีทั้งเงินทุนและเทคโนโลยี
การยกระดับอุตสาหกรรมจากการใช้แรงงานและทรัพยากรเข้มข้นในยุคเริ่มแรก
ไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะและเทคโนโลยีเข้มข้นที่สามารถจ่ายค่าแรงสูงได้นั้น
หัวใจสำคัญคือ “การสะสมทุนมนุษย์”
ซึ่งก็คือ
การยกระดับความสามารถ ทักษะ ผลิตภาพของประชากรให้สูงขึ้น ด้วยการลงทุนในระบบการศึกษาทั้งกระบวน
เน้นการผลิตบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม การวิจัยและพัฒนาทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน
รัฐบาลเปิดเสรีการค้าและการลงทุน
ลดอุปสรรคการไหลเข้าออกของสินค้า บริการ และเงินทุน ให้ระบบเศรษฐกิจมีลักษณะ
“เปิด” ยิ่งขึ้น ซึ่งเอื้อให้มีการลงทุนและการแลกเปลี่ยนทางทักษะ ความรู้ วิจัยและเทคโนโลยี
เพราะการสะสมทุนมนุษย์ไม่สามารถดำเนินไปได้ในสังคมแบบปิด ที่กีดกันการค้า การลงทุน
และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ต้องมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ
มีนโยบายอันชัดเจน ซึ่งจะต้องไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการ เพราะรัฐบาลเผด็จการแม้ดูภายนอกจะมีความมั่นคง
แต่เนื้อในมักจะไม่มีเสถียรภาพจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตลอดจนความไม่พอใจและแรงต่อต้านจากประชาชนที่คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา
การเปลี่ยนผ่านระบบการเมืองจากเผด็จการที่ปิดและไม่มีเสถียรภาพ
ไปสู่ระบบการเมืองที่ “เปิดมากขึ้น” กระทั่งเป็นเสรีประชาธิปไตย เป็นนิติรัฐ
มีพรรคการเมืองหลายพรรค และมีการเลือกตั้งเสรีอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดตอน กลุ่มการเมืองสามารถเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐและนโยบายบริหารประเทศได้อย่างสันติและต่อเนื่อง
เหล่านี้ จึงเป็น “เงื่อนไขสำคัญที่สุดทางการเมือง” ของการเอาชนะ
“กับดักรายได้ปานกลาง”
ประสบการณ์ของญี่ปุ่นเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง
เกาหลีใต้ปลายทศวรรษ 2530 ใต้หวันต้นทศวรรษ
2540 ที่เปลี่ยนผ่านจากระบบการเมืองแบบปิดหรือเผด็จการ
ไปสู่ระบบการเมืองเปิดที่เป็นเสรีประชาธิปไตย ล้วนยืนยันบทเรียนข้อนี้
และนี่ก็เป็นกระบวนการที่กำลังเกิดขึ้นในมาเลเซียและอินโดนีเซีย
ที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และระบบการศึกษาวิจัยทั้งหมด
พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบการเมืองที่ “เปิดและเป็นเสรีประชาธิปไตย” มากขึ้น
ในกรณีของประเทศไทย เงื่อนไขสำคัญเบื้องต้นของการข้ามพ้น
“กับดักรายได้ปานกลาง” ก็คือ การยุติวิกฤตการเมืองปัจจุบันด้วยการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจ
จากระบบการเมืองแบบปิดที่ครอบงำด้วยชนชั้นปกครองเก่าที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบ
ไปสู่ระบบการเมืองแบบเปิดที่เป็นเสรีประชาธิปไตย
ที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีเสถียรภาพและต่อเนื่องพอที่จะลงมือปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบ
เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษาวิจัย ตลอดจนเปิดเสรีการค้าการลงทุน
เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไปสู่การผลิตที่ใช้ทักษะเทคโนโลยีสูงและจ่ายค่าจ้างสูง