วันเสาร์, ตุลาคม 12, 2567

ตั้ง ‘เต้น’ ประกบ ‘ตู่’ หลังม็อบ ‘สนธิ’ กำลัง ล้มรัฐบาล ‘อุ๊งอิ๊ง’



มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 ตุลาคม 2567
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2567

รัฐบาลภายใต้การนำของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญหน้ากับอุปสรรคขวากหนามสารพัด ทั้งเกมในสภาและนอกสภา สุ่มเสี่ยงที่จะล้มระเนระนาดพังครืนได้ทุกเมื่อเชื่อวัน

เริ่มตั้งแต่ศึกในสภา พรรคประชาชนที่นำโดย “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา เตรียมที่จะเปิดศึกซักฟอกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงต้นปีหน้า เพื่อสะท้อนความล้มเหลวของคณะรัฐมนตรีทุกมิติ

ส่วนศึกนอกสภา รัฐบาลแพทองธารก็ต้องร้อนๆ หนาวๆ กับกรณีที่มีนักร้องไปยื่นเรื่องเอาผิดต่อองค์กรอิสระ ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

หวังใช้กลไก “นิติสงคราม” มาทำลายล้างรัฐบาลแพทองธารให้ต้องมีอันเป็นไปตามเกมที่ฝ่ายตัวเองได้วางแผนเอาไว้

ยิ่งไปกว่านั้น 2 พ่อลูกตระกูลชินวัตร “ทักษิณ-อุ๊งอิ๊ง” ยังถูกล็อกเป้าโดนจองกฐินล่วงหน้าจาก 2 ผู้บัญชาการม็อบใหญ่อย่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)

และ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่วันนี้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้นของทักษิณอย่างเต็มตัว

โดยทั้งนายสนธิและนายจตุพรประกาศเตรียมนำมวลชนลงถนนขับไล่รัฐบาลแพทองธารในช่วงต้นปีหน้า ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากผู้คนในสังคม

เพราะไม่มีใครอยากเห็นประเทศเข้าสู่วังวนเดิม ย้อนรอยประวัติศาสตร์เก่าๆ ทำชาติบ้านเมืองเสียหายยับเยิน กับการชุมนุมประท้วง ยึดทำเนียบ ยึดสถานที่ราชการ แล้วเปิดทางให้กองทัพทำรัฐประหาร

นับเป็นเกมอันตรายทางการเมืองที่ต้องประเมินสถานการณ์กันให้ดี หากม็อบจุดกระแสติดเมื่อไหร่ก็อาจจะสร้างความสั่นคลอนต่อรัฐบาลได้

ที่สำคัญนายสนธิยังประกาศเดิมพันครั้งใหญ่ ขอเดินครั้งสุดท้ายในชีวิต เพื่อสร้างมรดกชิ้นสุดท้ายให้สังคมไทย พร้อมทั้งยื่นเงื่อนไข 3 ข้อให้รัฐบาลพิจารณา

ประกอบด้วย

1. ขอให้นายกฯ ช่วยติดตามคดีลอบยิงเมื่อปี 2552 ซึ่งยังหาตัวคนร้ายไม่ได้

2. อยากรู้ว่าทำไมชาวพม่ามาอยู่ในประเทศไทยเต็มบ้านเต็มเมือง และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ต้องให้แค่เฉพาะคนไทยเท่านั้น ส่วนคนพม่าต้องได้เท่าเดิม

และ 3. ภายในประมาณไตรมาสแรกของปีหน้าจะปล่อยให้รัฐบาลทำงานสักพัก หากรัฐบาลทำอะไรที่ไม่เข้าที่เข้าทาง หรือผิดจริยธรรม ก็จะรวบรวมทั้งหมดเลยว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ควรจะอยู่ต่อไป

“เรื่องที่ 1-2 คือการซ้อมเดิน เรื่องที่ 3 คือการเดินจริง ผมบอกแล้วว่าปลายทางเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่จะทิ้งไว้ให้สังคมไทย และจะเป็นการเดินครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม” นายสนธิระบุ

สอดรับกับคำพูดของนายจตุพรที่เชื่อว่าแกนนำม็อบไม่ได้เป็นสารตั้งต้นในการจุดกระแสม็อบ แต่เป็นตัวรัฐบาลเอง

“รัฐบาลนี้จะล้มได้ ม็อบจะจุดติดได้ ไม่ใช่แกนนำม็อบ แต่คือรัฐบาลที่จะเป็นไม้ขีดไฟ เป็นน้ำมันเสียเอง” นายจตุพรกล่าว

ท่าทีและสัญญาณที่ออกมาจากนายสนธิและนายจตุพรในครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในเกมโค่นล้มรัฐบาลโดยมีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง

แต่หมากเกมนี้ “ทักษิณ-อุ๊งอิ๊ง” ก็มองทะลุปรุโปร่ง และเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ พร้อมตั้งการ์ดสูงเพื่อเตรียมรับมือกับม็อบที่สนธิกำลังกันเข้ามาเขย่าขวัญรัฐบาล

โดยเริ่มจากการแต่งตั้ง “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และอดีตแกนนำคนเสื้อแดง รวมทั้งนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส อดีตปลัดสำนักนายกฯ ให้เป็นที่ปรึกษาของนายกฯ

ซึ่งในรายของนายณัฐวุฒิหลายฝ่ายเชื่อว่าเขาจะเป็นกำลังหลักในการคุมม็อบฝ่ายต่อต้าน หรืออาจจะสวมบทบาทเป็นแม่ทัพนำมวลชนลงถนนเพื่อปกป้องรัฐบาลแพทองธารด้วยตัวเอง

แม้ว่าภายหลัง “อุ๊งอิ๊ง” จะออกมาปฏิเสธข่าวว่าไม่เกี่ยวกับการตอบโต้ม็อบแต่อย่างใด

“อาจจะเป็นเวลาที่พอเหมาะพอดีที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมมา แต่ว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกัน ซึ่งจริงๆ แล้วตั้งแต่การทำครอบครัวเพื่อไทย ก็ได้มีการทำงานร่วมกับนายณัฐวุฒิอยู่ตลอด และเห็นความสามารถในหลายๆ เรื่อง”

“ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง หรือการบริหารจัดการในหลายๆ อย่างที่ให้คำปรึกษามาโดยตลอด คิดว่าน่าจะสามารถทำประโยชน์ได้เยอะ” แพทองธารกล่าว

ขณะที่นายณัฐวุฒิยอมรับว่าจำเป็นที่จะต้องกลืนเลือดกลืนทุกอย่างและย้ำว่ามีเหตุผลของตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้

“ที่ผ่านมา 1 ปีเศษๆ เกิดการเรียนรู้ว่าต้องอยู่กับความจริงของสถานการณ์ให้ได้ การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ”

“ผมมาช่วยเรื่องการเมืองและการประเมินสถานการณ์ต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องว่ารัฐบาลควรจะเดินอย่างไร แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ” นายณัฐวุฒิกล่าว และยอมรับว่ามาช่วยดูยุทธศาสตร์ทางการเมืองในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่ประชาชนด้วย

ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบแต่งตั้งที่ปรึกษานายกฯ 5 คน ประกอบด้วย นายชัยเกษม นิติสิริ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร และนายจักรพงษ์ แสงมณี

นอกจากนี้ ยังแต่งตั้งนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นโฆษกประจำสำนักนายกฯ เรียกได้ว่ารัฐบาลแพทองธารเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ข้างหน้าอย่างเต็มที่

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าม็อบก็คือกระบวนการ “นิติสงคราม” จากฝ่ายผู้มีอำนาจที่คอยกำหนดทิศทางอนาคตการเมืองไทยมาตลอดทุกยุคทุกสมัย

สอดคล้องกับมุมมองของ “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ให้สัมภาษณ์ในรายการมีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ ทางยูทูบมติชนทีวี โดย พล.ท.ภราดรเชื่อว่ารัฐบาลแพทองธารอาจจะเกิดอุบัติเหตุ และมีอันเป็นไปก่อนที่ม็อบจะออกมาขับไล่เสียอีก

“สนธิศักยภาพไม่เหมือนเดิมหรอก และบางคนยังเป็นห่วงว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสลงถนน เพราะรัฐบาลไปก่อน เนื่องจากนิติสงคราม”

“ถ้าเราเข้าไปสนามมวย รัฐบาลจะอยู่บนเวที แต่พวกม็อบหรือภาคประชาชนอยู่ตรงอัฒจันทร์ คนพวกนี้สร้างจิตวิทยา ให้พลังกับกรรมการที่จะเข้าไปจัดการ การเอาจตุพรมาแจมยิ่งทำให้คนในอัฒจันทร์เต็มเอี้ยด แต่สุดท้ายมันอยู่ที่นิติสงคราม”

“เราจะเห็นคดีความไม่ว่าจะเป็นผู้นำจิตวิญญาณอย่างทักษิณหรืออุ๊งอิ๊ง และอะไรต่างๆ มันมีแนวโน้มสูง มันล่อแหลม ความโชคร้ายของพรรคเพื่อไทยและทักษิณก็คือศัตรูเดิมไม่ได้หายไป แถมมีศัตรูเพิ่ม”

“ศัตรูพวกนี้มันไม่ใช่พรรคการเมือง แต่มันเป็นศัตรูเก่าที่มีอุดมการณ์ในการต่อสู้ และรับไม่ได้กับเรื่องต่างๆ”

“ทักษิณมันคือเรื่องชั้น 14 ทุกวันนี้คนทั้งประเทศเชื่อว่าทักษิณไม่ได้ป่วยจริง แล้วองค์กรที่เริ่มต้นก็เป็นองค์กรอิสระ คือสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และส่งไม้ต่อให้ ป.ป.ช.”

“ส่วนของอุ๊งอิ๊งมันคือเรื่องอัลไพน์ คนก็ประเมินกันว่ามันจะจบเร็วหรือไม่เร็ว เพราะมันมีตัวอย่างคำวินิจฉัยของคำพิพากษามาเป็นเครื่องยืนยัน ให้มีความเชื่อว่ามันน่าจะใช่”

“เพราะมันเห็นตั้งแต่ ปารีณา ไกรคุปต์ และ กนกวรรณ วิลาวัลย์ มันคือสาระเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนตัวละครเท่านั้น มันมีบรรทัดฐานอยู่แล้ว”

“เรื่องอุ๊งอิ๊งมันไปเข้าล็อก กกต. แล้วก็คงไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ฝ่ายต่างๆ ประเมินกันว่าอันตราย” พล.ท.ภราดรกล่าว

ปิดท้ายกันที่มุมมองของ รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล The Commentator ในรายการ The Politics ที่แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับม็อบที่ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ปิดส่วนราชการ เพราะไม่มีใครยอมรับความเสียหายเฉกเช่นในอดีตได้อีกต่อไปแล้ว

“รูปแบบนี้มันจะมาอีกแล้วเหรอ ม็อบพันธมิตร เสื้อเหลือง ม็อบนกหวีด ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ปิดส่วนราชการ ตกลงเราจะยอมรับความเสียหายแบบนี้กันอีกใช่ไหม”

“วันนี้การเมืองไทยเราต้องเล่นกันในระบบ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการเลือกตั้ง เราอาจจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในเรื่องต่างๆ แต่การทำหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านที่ผ่านมา เราพึ่งพาเขาได้ ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนมาถึงพรรคประชาชน”

“มันทำให้สังคมได้เห็นแล้วว่าการที่มีพรรคฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ มันช่วยยกระดับการเมืองไทย ตั้งแต่การแข่งขันในเชิงนโยบาย มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน นำมาซึ่งการทำงานที่มีประสิทธิภาพของ ส.ส. ซึ่งเป็นสภาพที่แตกต่างจากเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด”

“ถ้าม็อบสนธิจะใช้รูปแบบเดิม สังคมไทยจะร้องยี้ และปฏิเสธ ถ้าจะยกระดับกันไปถึงยึดทำเนียบ ยึดสภา ยึดอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่เห็นด้วย และผมก็ไม่เอาด้วย” รศ.ดร.ธนพรกล่าวทิ้งท้าย

https://www.matichonweekly.com/column/article_807751