ณัฐวุฒิ-สมบัติ งดจัดคาร์ม็อบเมื่อวาน เนื่องเพราะได้ข่าวว่าตำรวจจะออกหมายจับ แล้วไปลากตัวจากเวทีปราศรัย ลงท้ายศาลแขวงนครใต้ยกคำร้อง ไม่อนุมัติ แต่การชุมนุมสมรภูมิดินแดง ของกองกำลังมอเตอร์ไซค์ทะลุแก๊ส ก็ยังมีเป็นปกติ
ท่ามกลางเสียงก่นว่าของปวงประชา ถึงความก้าวร้าวของเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ถีบสกัดจักรยานคว่ำแล้วรุมตีผู้ชุมนุม มันเกินกว่ารักษาความสงบ หากแต่เป็นพฤติกรรมหัวไม้อันธพาล ชนิดเมื่อใดได้รัฐบาลของประชาชนแท้จริง ต้องไล่เบี้ยดำเนินคดีให้เกลี้ยง
รวมไปถึงการใช้กฎหมายคุกคาม ฟ้องดะ ยัดข้อหาสารพัดจะขุดเอามาใช้ได้ เหมือนที่เสกสถล อัตถาวงศ์ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ทองหล่อ ทั้ง ม.๘๗ (เล็งให้เกิดความรุนแรง) ม.๑๑๓ (ล้มล้าง รธน.) ม.๑๑๔ (สะสมกำลัง) ม.๑๑๖ (ปลุกปั่น) จนถึง ม.๑๑๒ (หมิ่นกษัตริย์)
การอ้างด้วยว่ามาฟ้องร้องครั้งนี้โดยส่วนตัว ไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล แสดงถึงความเป็นธรรมชาติของ ‘แรมโบ้ อีสาน’ จะแจ้ง คือมั่วซั่วสิ้นดี โดยเฉพาะข้อหาหมิ่นเจ้านั่นมาจาก ไปขึ้นปราศรัยเวทีเดียวกับ ‘ลูกนัท’ ซึ่งเจอข้อหา ๑๑๒ ณัฐวุฒิกับสมบัติเลยต้องโดนด้วย
ควรที่จะมีการฟ้องกลับ ‘countersues’ ฐานแจ้งความเท็จ ให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไว้บ้าง ในเมื่อลิ่วล้อเผด็จการเหล่านี้กำเริบเสิบสาน (จะทำตามนายสั่ง แล้วมาโกหกว่าไม่ใช่) แจ้งความฟ้องร้องโดยไม่สนใจขวนขวายใช้เหตุผลให้เหมาะสม
เช่นกันกับพฤติกรรม ‘แจกกล้วย’ ในสภาเพื่อกำชับให้มีจำนวน ส.ส.โหวตไว้วางใจ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงพอเอาชนะขาดลอยได้ ไม่แยแสว่าฝ่ายค้านจับตาอยู่ เมื่อถูกโวยวายก็แค่ออกมาปฏิเสธว่าไม่จริ๊งไม่จริง เท่านั้นเป็นพอ
ควรแล้วที่พรรคร่วมฝ่ายค้านดำเนินการต่อเนื่องจากการอภิปรายของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสภา ด้วยการรวบรวมหลักฐานสำหรับยื่นฟ้องต่อกรรมาธิการ ป.ป.ช. และกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร ว่ามีการแจกเงิน ๕ ล้านต่อหัว ส.ส.จริง
ทั้งนี้ สุทิน คลังแสง ยืนยันว่ามีหลักฐานเอาผิดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทั้งคลิปภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ไปขอล็อคมาใช้ ภาพนิ่งจากเหตุการณ์บนชั้น ๓ อันเป็นที่ตั้งห้องทำงานนายกฯ อีกทั้งพยานบุคคลที่รู้เห็น สามารถเชื่อมโยงไปถึงตัวนายกฯ ได้
แน่ละการยื่นฟ้องไม่ได้มีหลักประกันแน่นอนว่าจะสามารถเอาผิดได้ เพราะฝ่ายที่โกงมักจะมีชั้นเชิงและอำนาจเหนือกว่า หาทางรอดจนได้ แต่ทำให้มีหลักฐานประจานและบันทึกไว้ เมื่อใดเปิดฟ้าพ้นจากความอึมครึม ก็จะได้เห็นกันกระจ่าง
เช่นกันกับกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญโดยพรรครัฐบาล ซึ่งเข้าสู่วาระ ๓ ของการพิจารณาโดยสมาชิกสภา มีการรีบเร่งและรวบลัด ร้ายกว่านั้น “มีความพยายามที่จะแก้ให้เกินกว่าหลักการของร่างที่รับมา” รังสิมันต์ โรม ส.ส.ก้าวไกล ออกมาท้วงติง
“คิดให้ดี ก่อนจะลงมติ” เขาชี้กรณี “เห็นพิรุธมากขึ้นเรื่อยๆ...แรกสุดถึงกับพยายามเอาร่างที่ตกไปแล้วสอดไส้เข้ามาใหม่ พอถูกค้านหนักก็ทำท่าเหมือนจะถอย แต่ก็ยังแอบแทรกเนื้อหาที่เกินหลักการเข้ามาอยู่ดี” เขาเอ่ยถึงเรื่องบัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ
“แม้จะมีบัตรสองใบแล้ว แต่ขาดการกำหนดกรอบ ส.ส.พึงมี ทำให้บางพรรคการเมืองได้ ส.ส.มากเกินสัดส่วนของเสียงประชาชนที่เลือกพรรคนั้นๆ ในขณะที่พรรคอื่นๆ ถูกบีบให้ได้ ส.ส. น้อยกว่าที่ควรจะได้” จะทำให้ผลที่ออกมาไม่สมจริง
“เกิดปัญหาจำนวน ส.ส. ไม่สอดคล้องกับคะแนนนิยมที่แท้จริงของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานานนับสิบปีแล้ว” ว่าระบบเลือกตั้งที่สะท้อนหลักการประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง “ให้ประชาชนได้เลือกคนที่ใช่ เลือกพรรคที่ชอบ”
นอกจากนั้นการแก้รัฐธรรมนูญโดยพรรคพลังประชารัฐครั้งนี้ “กลับไม่มีการเปิดให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมตัดสินใจเลยว่าเขาต้องการระบบเลือกตั้งแบบไหนกันแน่ มีแต่ความเร่งรีบเหลือเกินที่เอาให้ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ”
การเดินหน้าการเมืองให้อยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของระบบ คสช. ต่อไปสมัยที่สามนี้ โยนทิ้งข้ออ้างต่างๆ ที่ประกาศไว้ เมื่อคณะทหารเข้ามายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลเลือกตั้งชุดพลเรือน ไม่เพียงรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ สร้างขึ้นมาคงอำนาจ คสช.
ยังถูกแก้ไขปรับเนื้อหา (แม้กลับไปกลับมาเช่นที่รังสิมันต์ระบุ) ให้คณะประยุทธ์ได้เปรียบทางการเมือง และครองอำนาจต่อไปอย่างยาวนาน ผ่านมาแล้ว ๗ ปีกว่า พิสูจน์แล้วว่าคณะยึดอำนาจทำเพื่อประโยชน์ของพวกตนทั้งนั้น จนสภาพบ้านเมืองเลวร้ายลงไปหลายขุม
(https://www.facebook.com/rangsimanrome/posts/775279913228658, https://www.matichon.co.th/politics/news_2929069 และ https://prachatai.com/journal/2021/09/94892)