ประเด็นที่ สุทิน คลังแสง ส.ส.พรรคเพื่อไทยงัดเอารัฐธรรมนูญมาตรา ๑๕๘ มาเป็นไฟลนก้นประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ จะหมดลงในเดือนสิงหาคมปีหน้า เนื่องจากตัวบทบอกว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน ๘ ปีมิได้” นั้น
ประยุทธ์และพวกยังเก็บไต๋เงียบ ไม่ยอมให้พิกุลร่วงแม้แต่นิด เพราะถ้าเรื่องนี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ดังที่ เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้ความเห็น แล้วศาลรัฐธรรมนูญเกิด ‘เปลี่ยนไป’ ประยุทธ์จะไม่สามารถรอเป็นนายกฯ อีกสมัยได้
การตีความตามลายลักษณ์อักษรโดยพ่วงมาตรา ๒๖๔ เข้าไปประกอบมาตรา ๑๕๘ ดังที่เจษฏ์แนะว่า “ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเท่านั้น” หากเป็นบรรยากาศของการเหลิงอำนาจก่อนเกิดวิกฤตโควิด อันทำให้เห็นธาตุแท้ความสิ้นไร้ประสิทธิภาพของประยุทธ์ละก็
จะได้เห็นชั้นเชิง ‘นิติสงคราม’ ของพวกประยุทธ์ออกมาเสนอหน้ากันสลอนแล้วป่านนี้ แต่นี่มีแต่ จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชี้โพลงให้ กกต.เป็นคนชงส่งศาลรัฐธรรมนูญ จะได้สามารถทำได้เลย ไม่ต้องรอกระบวนการรัฐสภา
“ปรากฎอยู่ในมาตรา ๑๗๐ วรรคสาม ที่ระบุว่า ให้นำความในมาตรา ๘๒ มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ตามวรรคสองโดยอนุโลม ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย” จรัญอ้างศาล รธน.ชงเองไม่ได้
ทั้งที่ตนเองเห็นด้วยกับแนวคิดแย้งที่ว่า ประยุทธ์เพิ่งมีสถานะเป็นนายกฯ ตาม รธน. ๒๕๖๐ เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้ในวันที่ ๖ เมษา ๖๐ (ตามบทเฉพาะกาล) ดังนั้นการสิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งของประยุทธ์จะไปครบ ๘ ปี ในวันที่ ๕ เมษา ๒๕๖๘
อย่างไรก็ดี ยังมีอีกแนวคิดซึ่งน่าจะมาจากลิ่วล้อของประยุทธ์ ที่เตรียมตัวร่วมหัวจมท้ายกับประยุทธ์อีกสมัย หลังการเลือกตั้งตามปกติครั้งหน้า (ปี ๖๖) ทำให้ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ไปจนถึงปี ๒๕๗๐ จึงจะครบวาระ ๘ ปี โดยถือว่าประยุทธ์เริ่มเป็นนายกฯ เมื่อ ๙ มิถุนา ๖๒
อดีต ตลก.รธน.เร่งให้ ‘ชง’ เรื่องส่งศาลรัฐธรรมนูญเสียตั้งแต่วันนี้ดีกว่ารอให้ปัญหาเกิดขึ้นในเดือนสิงหา ๖๕ เมื่อครบกำหนดดังที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยผลักดัน เขาอ้างว่าจะทำให้ประเทศวุ่นวายด้วยภาวะเศรษฐกิจ สังคม และ “ความสงบเรียบร้อย”
เป็นข้ออ้างที่ฟังแล้ว ‘เฉิ่ม’ เอาการอยู่ เพราะมันเป็น cliché วาทกรรมซ้ำซากของศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ไม่ต่างอะไรกับความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่มักใช้อ้างกันอย่างพร่ำเพรื่อ แต่ก็มีนัยยะของความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ ประมาณว่ารีบๆ ทำซะ ก่อนน้ำลง
อุปมาอุปมัย กับภาวะการณ์อุทกภัยขณะนี้ แทนที่จะเที่ยวไปเยี่ยมที่โน่นที่นี่ แล้วเซ่อซ่าพูดจาไม่อยู่กับร่องรอย สวดมนต์ห้ามฝนบ้างละ คุยกับพวกงัวๆ ทำเป็นนักประชาธิปไตย ให้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แซะเสียแสบ จากสุโขทัยไปชัยภูมิก็ยังไม่วาย
“นายกรัฐมนตรีและคณะรับฟังรายงานสรุปจากผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ พร้อมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย...จากนั้น จะรับฟังรายงานจากนายอำเภอจัตุรัส และผู้อำนวยการโครงการชลประทานจังหวัดชัยภูมิ” โฆษกแถลง
หากแต่ที่อำเภอจตุรัส ittipat pinrarod @ittipat_tv แจ้งว่า “น้ำเริ่มลด ๕๐ เซนติเมตร เร่งหาทีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ให้นายกฯ ที่จะมาที่หนองบัวใหญ่ ยังหาไม่ได้ เพราะน้ำยังท่วมหมด” นี่มิต้องไปเรือท้องแบน ทส.สิบคนลุยน้ำลากเหมือนปีที่แล้ว
ธนกร วังบุญคงชนะ พล่ามอีกว่า “กรมชลประทานได้ปรับแผนการบริหารจัดการน้ำ พร่องน้ำและบริหารพื้นที่ลุ่มต่ำให้เป็นแก้มลิงหน่วงน้ำ เร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อรองรับน้ำจากพื้นที่ตอนบนที่กำลังจะมาถึง” เนื้อความคล้ายกับที่ปลอดประสพ สุรัสวดี แจงไว้
นอกจากชี้ว่า “ขณะนี้มีน้ำต่ำกว่า ๕๐% เป็นส่วนใหญ่” แล้วยัง “พายุหรือฝนปีนี้ถือว่าธรรมดามากเปรียบเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ (พูดแบบสนุกขำขันก็คือช้างกับไก่) แต่ที่ท่วมตอนนี้มีลักษณะเป็นจุดๆไม่ได้แผ่ไปในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ”
นั่นคือฟันธงได้เลย “ปีนี้น้ำไม่ท่วมใหญ่ (เหมือนปี ๕๔ อย่างที่เป็นห่วงกัน) แน่นอน” แล้วยังเอาแนวทางจากเมื่อครั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาสอนสั่ง ๘ ข้อ ได้แก่ “ระหว่างทางน้ำไหลต้องมีแก้มลิง” “ลำน้ำบางจุดต้องมีคัน” และ “ต้องมีระบบระบายน้ำ (ขณะนี้มีแต่ระบบส่งน้ำ)”
เหล่านั้นทั่นโฆษกฯ เอามาแถลงเหมือนกัน ข้อกังขาอยู่ที่พูดแล้ว ‘ได้ทำ’ หรือ ‘ทำได้’ ไหม ที่นายกฯ บอกให้สวดมนต์ไล่พายุนั่น พวกพายุเค้าไม่เชื่อน่ะ ตั้งท่ามาถล่มกันอีก ๓ ระลอก คือ ดีเพรสชั่น มา ๗-๙ ตุลา พายุ ‘หลิ่นฟา’ มา ๑๑-๑๖ และพายุ ‘ดานัง’ ๑๗-๒๐
เป็นอันว่าเดือนหน้าต้องสวดมนต์กันทั้งเดือน
(https://www.thairath.co.th/news/politic/2206167, https://www.facebook.com/plodprasop.suraswadi.1/posts/1190597378103950, https://www.matichon.co.th/politics/news_2963684 และ https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_469618CUrnA)