‘ชัยภูมิเมืองแม่ง’ สำหรับตู่ ชาวบ้านส่วนหนึ่งเสียงดัง “ตะโกนด่า มาทำไม ออกไป” ระหว่างขึ้นรถแห่ตรวจน้ำท่วมผ่านย่านธุรกิจตลาดคลองพุดซา บ้างใช้คำต่างด้าว “ไอเฮียทู” แต่ออกสำเนียงไทย นำหน้าวลีลึกประจำยุค “เผด็จการอัปรีย์”
“ส่วนกองเชียร์กริ๊ดลุงตู่ทำดี ประยุทธ์อ้อนยังไงก็ไม่ทิ้งชัยภูมิ เป็นเมืองแม่” Voice TV รายงาน “ท่วมตั้งแต่วันเสาร์เพิ่งโผล่มาวันพุธ” โถ ต้องเห็นใจ เพิ่งไปสุโขทัยมาหลัดๆ แม้นว่าจะไปที่ไหนๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น รังแต่จะเพิ่มความลำบากแก่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
“ไม่เกิดประโยชน์โภชน์ผลใดๆ เลย คือการลงพื้นที่ของประยุทธ์ที่เต็มไปด้วยพิธีการ ส่วนงานไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาระยะยาว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่เป็นภาระให้ประชาชน” Thuethan Prasobchoke วิจารณ์แหลก
เขาเล่าเรื่องซึ่งถ้าประยุทธ์ได้รับรู้ ก็ควรจะต้องสะอึกบ้างนะ “ในระหว่างที่รอประยุทธ์เดินทางไปตรวจเยี่ยมน้ำท่วมที่โรงพยาบาลชัยภูมิ มีผู้หญิงรายหนึ่งที่เป็นคนไข้ผ่าคลอด...หมอ discharge ให้กลับบ้าน แต่ออกจากพื้นที่ไม่ได้
เพราะพื้นที่โรงพยาบาลถูกปิดเพื่อรักษาความปลอดภัย...คนอยู่ข้างใน สามีภรรยากับลูกที่เพิ่งจะเกิดก็อยากกลับบ้าน แผลผ่าคลอดก็ยังไม่ปกติ แล้วต้องทนอุ้มลูกรอเป็นชั่วโมง...ออกจากพื้นที่ไม่ได้ อากาศก็ร้อนลูกเล็กๆ ก็ร้อง”
จนมีพระสงฆ์รูปหนึ่งโวยวายกับเจ้าหน้าที่ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ เจ้าหน้าที่พยายามบอกว่าต้องกักคนไว้ก่อนตามคำสั่งลงมา พระยิ่งขึ้นเสียงดัง ทำให้บรรดาผู้สื่อข่าวพากันมากลุ้มรุมถ่ายคลิป ท้ายสุดเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลยินยอมให้ครอบครัวนี้ออกไปได้
‘ถือแถน’ สะท้อนให้เห็นเหตุที่เกิดเนื่องเพราะ สภาพสังคมไทย “มันมีทั้งคนที่ถูกละเมิดสิทธิ แต่ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกร้องสิทธิ ไม่ต่อสู้เพื่อตัวเอง เอาแต่ก้มหน้าทน หมดความอดทนก็นั่งร้องไห้ แบบสองคนผัวเมีย” ลูกเล็กเพิ่งเกิดได้รับความลำบากโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ส่วนพระสงฆ์องค์นั้นเป็นคนอีกจำนวนหนึ่งซึ่ง “ทนไม่ได้กับเรื่องที่เกิดตรงหน้า” แล้วไม่ยอมเป็นไทยเฉย ‘ออกร้อนแทน’ ผู้ที่ถูกกระทำ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เอาแต่อ้างปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่ยอมรับรู้กับทุกข์ร้อนของผู้ถูกเอาเปรียบ
เขาสรุปว่าเหตุการณ์นั้นถ้าไม่มีสื่อเข้าไปแทรกเป็นส่วนหนึ่งของเหตุเกิดละก็ พ่อแม่และเด็กเกิดใหม่จะต้องแจ่วรออย่างนั้นไม่รู้นานเท่าไร “ถ้าสื่อทำหน้าที่อย่างเต็มที่ การตรวจสอบของสื่อก็มีผล” แต่เช่นกันหากพระองค์นั้นไม่โวยวาย สื่อก็อาจไม่ใส่ใจ
ฉะนั้น การเรียกร้องให้เกิดการปรับแก้สภาพที่เป็นอยู่หลายมิติในประเทศ เปลี่ยนแปลงกฎหมาย แก้ไขเศรษฐกิจ และปฏิรูปสถาบันประมุข อันดำเนินมาอย่างไม่ขาดสาย แรงบ้าง แผ่วบ้าง หยุดบ้างแล้วเกิดใหม่ มากกว่า ๗ ปี จำเป็นต้องมี ‘น้ำประสาน’ แบบพระและนักข่าวนั้น
นอกเหนือจากการตีเหล็กเมื่อกำลังร้อน ภาวะการเมืองการปกครองถึงจุดนี้น่าจะเป็นที่รับรู้ และ/หรือเชื่อได้ว่า องคาพยพของการรัฐประหารได้เสื่อมสภาพลงไปมากแล้ว เหตุจากการทำตัวของตัวเอง พวกนักยึดอำนาจไม่มีความสามารถในการบริหารปกครอง
และคนจำนวนไม่น้อยที่เคยหลงเชื่อและคิดผิด ที่เอื้อให้ทหารกลุ่มหนึ่งใช้อำนาจอิทธิพลของผู้ถืออาวุธเข้ามาครองเมือง ได้เห็นแจ้งชัดกับตาแล้วว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด เปิดโปงกะโหลกกะลาแก่นแท้ของคณะประยุทธ์ ว่าคือนักฉวยโอกาสกระจอกดีดีนี่เอง
การที่เพื่อนซี้ของประยุทธ์ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล “อดีตประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ ประกาศทิ้ง พปชร. ซบพรรคใหม่ของ ‘ปลัดฉิ่ง’ (ฉัตรชัย พรหมเลิศ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ)...เล็งขน ๑๓ ส.ส.ใต้ ติดมือไปด้วย” เป็นสัญญานว่าเหล็กกำลังร้อน
ต้องช่วยกันตี ช่วยกันดัด จึงจะได้รูปแบบออกมาอย่างที่ทุกคนต้องการ จะปล่อยให้ช่างดาบอรัญญิกตีเหล็กตามแบบที่เคยทำมาแต่ครั้งโบราณกาล ก็จะได้ดาบทรงสวยเอาไว้รำเชิดปี่กลองเท่านั้น ไม่ใช่มีดพล้าสารพัดสรรพคุณ แบบมีดญี่ปุ่นอันคมกริบและถนัดมือ
การที่ ‘ไบร๊ท์’ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติฐานละเมิดสิทธิ ในการใช้เสรีภาพการชุมนุมที่ท่าน้ำเมืองนนท์ เมื่อ ๑๐ กันยา ปีที่แล้ว เรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ๕ แสนบาท ก็เป็นการร่วมตีเหล็ก หรือบ่งบอกให้ช่างรู้ว่าควรตีอย่างไร
เฉกเช่นที่มีการฟ้องร้องประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยกลุ่มทนายความและเจ้าของกิจการค้า ว่านายกฯ บริหารจัดการเรื่องโควิดผิดพลาดมหันต์ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อง ประเทศกำลังจะล่มจม ยังมีการฟ้องลักษณะนี้อีกบางกรณีที่เป็นน้ำพักน้ำแรง ‘ประสาน’
ด้วยเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ แม้นว่ากรรมวิธีจะดูเหมือนไร้แรงกระทบ ให้ศัตรูดูแคลนจนชะล่าใจ ได้ยิ่งดี
(https://www.facebook.com/HRLawyersAlliance/posts/230678379038419, https://www.thairath.co.th/news/politic/2206574DYtfYsw และ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2135873589884296&id=100003850270527)