ดังข้อสังเกตุของ Thanapol Eawsakul ว่าผู้ที่ถูกระบุเป็นบุคคลซึ่งหน่วยงานความมั่นคงต้องคอยจับตา หรือ ‘Watch list’ นั้น “อายุน้อยที่สุดเกิดในปี ๒๕๔๙ อายุ ๑๕ ปี เป็นเด็กผู้หญิง ๒ คน” และ “ในวันนี้มีอยู่ ๓ กรณี ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่อายุน้อย”
ไม่เพียง “ชวนให้สลดใจที่รัฐไทยกำลังทำร้ายเยาวชนของชาติ” ดังธนาพลว่า หากแต่เป็นพฤติกรรมสามานย์ ที่รัฐบาลส่วนใหญ่ในโลกตั้งแต่เริ่มศตวรรษที่ ๒๐ มาจนบัดนี้เขาไม่ทำกัน ไม่ว่าจะมีแนวทางการปกครองอันจำกัดจำเขี่ย หรือ ‘rigid’ ขนาดไหน
สามกรณีที่ธนาพลชวนให้คำนึง ได้แก่ การต่อสู้ของ ‘หยิน พะเยา’ อายุเกือบ ๑๕ ปี ที่เริ่มมองเห็นความล้าหลังในสังคม “จากการเป่านกหวีดเมื่อหกเจ็ดปีก่อน” ซึ่งเธอสรุปว่า “เดี๋ยวพวกมึงก็จะตายกันแล้ว ทำไมพวกมึงต้องมาทิ้งซากปรักหักพังแบบนี้ให้พวกกู”
ทั้งกับความคาดหวังสำหรับวันข้างหน้า “เราฝันว่าประชาธิปไตยจะเบ่งบานในรุ่นเรา แล้วเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตของพวกเรา แบบที่เราอยากเป็นเสียที” นั่นคือ “กลับไปใช้ชีวิตวัยเด็กของเรา ทำการบ้าน เรียนหนังสือ เล่นกับเพื่อน เล่นเกม ไปเรียนรู้ ไปโตตามวัย”
เธอเทิดทูนวีรกรรมของเยาวชนดินแดง “ความเหลื่อมล้ำของประเทศนี้ทำให้บางคนอยู่เหมือนตาย เขาก็เลยสู้แค่ตาย...สู้แบบไม่มีอะไรเสีย...ถ้ารัฐบาลบริหารดี มีระบบสวัสดิการที่ดี ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ...ใครแม่งจะอยากมาเครียดกับการเมืองแบบนี้”
อีกคน อายุ ๑๗ ปี ‘อั่งอั๊ง’ เป็นที่รู้จักกันดีจากการปราศรัยถึงแก่น ทั้งยังเป็นหลานสาวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจ นักกิจกรรม และนักการเมืองคนสำคัญ วานนี้ (๒๓ ก.ย.) เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๑๑๒
เนื่องจากมีกลุ่มนักกิจกรรมฝ่ายขวา ‘ศูนย์บุลลี่’ ไปแจ้งความไว้ว่าอั่งอั๊งไปปราศรัยหน้าศาลอาญาเมื่อ ๑๓ กุมภา “พาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงในลักษณะอันมิบังควร” นี่คือความไร้หลักนิติธรรมของกฎหมายมาตรานี้ ใครก็ได้สามารถกล่าวหาใครก็ได้ แล้วต้องดำเนินคดี
คนที่สามคือ ‘เมนู’ อายุ ๑๙ ปี “ต้องเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ในคดีที่มี พ.ต.ท.จิรศักดิ์ ฉวีนิล เป็นผู้กล่าวหา” ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๑๑๒ เช่นกัน จากการปราศรัยเมื่อ ๓๐ พฤศจิกา ๖๓
สุพิชฌาย์ ชัยล้อม พูดในการชุมนุมที่หาดใหญ่วันนั้นถึง “การเปลี่ยนแปลงในการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ ๑๐ รวมทั้งการยัดเยียดเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาในหนังสือเรียน” ปรากฏว่ามีการเตรียมรับผู้ถูกกล่าวหาอย่างเอิกเกริก
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าตำรวจจัดกำลังกว่า ๕๐ นาย รักษาการที่ สภ.หาดใหญ่ แถมใช้โดรนบินตรวจการเหนือบริเวณตลอดเวลา อีกทั้งมีแผ่นปลิวของตำรวจแจกทั่วบริเวณว่า ห้ามชุมนุมเกินกว่า ๕ คน และมีการบันทึกภาพเป็นหลักฐานด้วย
ส่วนนักกิจกรรมอื่นๆ ระดับแกนนำคณะราษฎร ๖๓ ไม่ว่าจะเป็น อานนท์ นำภา พริษฐ์ ชีวารักษ์ ภาณุพงศ์ จาดนอก ซึ่งถูกปฏิเสธประกันตัวกันแล้วหลายครั้ง ล้วนยังถูกควบคุมตัวต่อไป และปฏิเสธคำร้องมารดาของพริษฐ์ ขอให้ส่งตัวเพ็นกวิ้นไปรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์
สำหรับผู้ต้องหาฝ่ายหญิง ไม่ว่าจะเป็น ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เบนจา อะปัญ และ ‘ป้าเป้า’ วรวรรณ แซ่อั้ง ต่างโดนอัยการธัญบุรีสั่งฟ้องกันถ้วนหน้า กระทั่ง อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ก็ยังไม่พ้น โดนหมายเรียกให้ไปรับข้อกล่าวหาฐานร่วมจัดคาร์ม็อบ
ส.ส.เจี๊ยบ เย้าแกมหยิกว่าเหตุที่ประยุทธ์เตรียมยืดเวลา พรก.ฉุกเฉินต่อไปอีกสองเดือน เพื่อเป็นผลพลอยได้จัดการปิดปากบรรดาผู้ที่ออกมาวิพากษ์ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล นอกเหนือจากราคาคุยในการจะเปิดประเทศในเดือนตุลาคมล้มเหลว ต้องยืดออกไปอีก ๑ เดือน
(https://www.matichon.co.th/politics/news_2956040, https://www.facebook.com/.../a.66886010.../4309250275791460/, https://ch3plus.com/news/program/258903L_ip9YHM และ https://www.facebook.com/.../a.10150540.../10165882883295551)