ถ้าบอกว่าธีมการชุมนุมประท้วงเรียนออนไลน์ของกลุ่มนักเรียนเลวกระชากอารมณ์ที่สุด การชุมนุม ‘บวก’ หรือเผชิญหน้า เอาคืนกับความเหี้ย มโหดของตำรวจ คฝ.รายวันที่ดินแดง ก็กระซวกจิตสำนึกและภาวะจิตใจของคนทั่วไปได้มากที่สุด
ภาพร่างนักเรียนหญิงห้อยต่องแต่ง สีแดงเปื้อนทั่วตัว อยู่ข้างป้ายข้อความบนผืนผ้าขนาดใหญ่ “เด็ก ๑.๘ ล้านคนกำลังหลุดจากระบบการศึกษา เพราะการเรียนออนไลน์ ที่ไม่เห็นหัวเด็ก” เมื่อวันก่อน เห็นแล้วหวาดเสียวพอๆ กับภาพจากการชุมนุมเมื่อวานนี้
เด็กสาวในชุดนักเรียน มีเชือกเส้นใหญ่มัดทั่วร่าง ยืนอยู่บนเก้าอี้ รายล้อมด้วยเปลวเพลิงจากการเผากระดาษแผ่นปลิว ๑๑,๒๐๐ แผ่น ซึ่งโปรยลงมาจากยอดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ถูกห่มด้วยผืนผ้าขาวอันเกลื่อนด้วยข้อความหลากสีต่างๆ มิดตั้งแต่ยอดจรดฐาน
ล้วนเป็นกิจกรรมเชิงสัญญลักษณ์เต็มไปด้วยแนวคิดก้าวล้ำ สร้างสรรค์ ไม่จำเป็นต้องสุนทรีย์เสมอไป แต่ให้ความรู้สึกอึดอัดขัดข้อง ที่อนุชนรุ่นนี้ต้องเผชิญกับความลุ่มหลงในอัตตา และการเอาเปรียบของกลุ่มคนที่เหนี่ยวรั้งอดีตอย่างเหนียวแน่นก่อนถึงบั้นปลาย
ซึ่งคนเหล่านั้นรู้ดีว่าอนาคตของตนกำลังถอยหลังย้อนมาหา ผิดกับคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นแต่การเจริญวัยอยู่เบื้องหน้า และต่อๆ ไป พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะนิ่งเฉย แล้วปล่อยให้อนาคตของพวกตนถูกบิดเบี้ยว สนองตัณหาของชนรุ่นหมดน้ำยา
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ในคำประกาศของกลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย สำหรับการนัดหมายพร้อมกันที่สามเหลี่ยมดินแดงเย็นนี้ มันสะท้อนอาการฮึดสู้ของกลุ่ม ทะลุฟ้าและทะลุแก๊ส ตลอดกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาในสมรภูมิดินแดง
๗ กันยา “ปากคำของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คนที่หนึ่งเล่าว่า ตำรวจขับรถกระบะอีซูซุ ๕ คันเข้ามาและพุ่งชนผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณแยกดินแดง รวมทั้งใช้กระสุนยางยิงเข้าใส่ด้วย” ผู้บาดเจ็บคนหนึ่งไหปลาร้าหัก อีกคนหนักถึงขั้นแรงกระแทกกระทบปอด
ผู้บาดเจ็บเป็นเยาวชนอายุ ๑๗ ปี “ขับรถชนเด็กทำไม ชาวบ้านถาม” ittipat pinrarod @ittipat_tv รายงานว่าชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเกิดความไม่พอใจ กรูกันเข้าไปต่อว่าและผลักไสกลุ่มตำรวจในเครื่องแบบต่อต้านฝูงชน หมวกแข็ง สนับแข้ง และเสื้อกั๊กกันกระทุ้ง
“ต่อมามีรายงานว่า ตำรวจจับกุมผู้ชุมนุมไม่น้อยกว่า ๑๕ คนเป็นเด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ๕ คน” ขณะอีกฟากหนึ่งของกรุงเทพฯ ต๋ง ทะลุฟ้า ขึ้นปราศรัยเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พูดถึงข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
“บอกว่าเราเป็นคนที่ทำความวุ่นวายให้บ้านเมือง...จำไว้ว่าเราทำผิดแค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่พวกเขาทำมันผิดรัฐธรรมนูญ...อยากถามว่าการชุมนุมมันผิดมากนักเหรอ...ผู้ใช้กฎหมายของประเทศนี้ พวกเขาไม่เคยทำให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมได้เลย
วันไหนที่ประชาชนชนะเราจะคิดบัญชี...ถ้าประชาชนยังต่อสู้ เผด็จการไม่มีวันชนะ...ชัยชนะอาจจะไม่ได้มาหาเราในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ เราจงต่อสู้เพื่อรอวันนั้นมาถึง และความเจ็บปวดทุกอย่างจะได้รับการเยียวยาแน่นอน”
เช่นกันกับกระแสทัดทานความคร่ำครึของระเบียบศาสนาในสังคม รวมไปถึงหมู่มารซึ่งห้อยโหนคลั่งไคล้แต่กับภาพลักษณ์บนฝาผนัง ดังที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.ปัดเศษย้ายพรรค ยังพยายามกดดันให้ทำการ ‘สึก’สองพระนักเทศน์ขำขัน
ทั้งที่ สนง.พุทธศาสนาฯ หรือ พศ.มีวินิจฉัยต่อกรณีพระมหาไพรวัลย์-พระมหาสมปอง ไล้ฟ์ธรรมะขำขัน “ไม่ถือว่าผิดวินัยร้ายแรง” แต่ถ้าเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพงทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่ จะสั่งการอย่างใดก็เป็นอำนาจที่จะปกครอง
“ส่วนตัวมองว่า ไม่เหมาะสม เพราะพระสงฆ์กลายเป็นดารา เรื่องนี้ พระธรรมวินัยห้ามไว้ ไม่ควรทำตัวเป็นดารานักแสดง ถ้าอยากจะเป็นดาราก็ควรจะลาสิกขา...การนำเสนอธรรมะ หากเห็นว่าเป็นวิธีที่ดี ก็ไปให้ดาราทำ” เสียสิ
เป็นความย้อนแย้งส่อเสียด อันทำให้เกิดความเสื่อมทรามล้าหลัง ต่อลัทธิปรัชญาระดับสูง ‘Metaphysics’ ซึ่งได้ชื่อว่าเต็มไปด้วยหลักการก้าวหน้า และเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนา ในแนวความคิดของนักปรัชญาตะวันตกต่อศาสนาพุทธ
ไพบูลย์นั้น ‘หน้าไหว้หลังหลอก’ ไม่ต่างกับ สุวิทย์ ทองประเสริฐ ผู้เคยใช้การนุ่งห่มผ้าสีเหลืองกลัด เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองให้คณะทหารเข้ามายึดอำนาจสำเร็จ ทั้งที่ประพฤติตนยิ่งกว่าอลัชชี มีทั้งการ ‘ตบทรัพย์’ และ ‘ซ่องโจร’
ทั้งสองนั่นต่างหากที่เป็น ‘มารศาสนา’ แท้จริง เป็นพวกอ้าง (โหน) หลักธรรมคำสอนของพระสาสดา เพียงเพื่อประโยชน์แก่ตนและทำลายล้างผู้อื่นซึ่งเห็นต่าง แม้เป็นการชักลากให้ถอยหลัง จากความก้าวหน้าทันโลกทันความเปลี่ยนแปลงของ ‘ยุคใหม่’
(https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_2927596, https://news.thaipbs.or.th/content/307656mRf8 และ https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10165836413650551)