อย่าเพิ่งรีบดีใจ จำนวนคนตายจากอาการป่วยโควิด-๑๙ ลดลงไปนิดนึงแล้ว วันนี้มีแค่ ๑๓๒ คน แถมหายป่วยตั้งหมื่นหก กำลังรักษาแสนสาม ติดเชื้อเพิ่มแค่หมื่นสองกว่าๆ เพราะถ้าตำรวจคุมฝูงชนยังลุยไม่ยั้งอย่างนี้ จะมีคนตายที่ดินแดงมาทดแทนจำนวนที่ลดไป
เมื่อคืน (๑๒ กันยา) เกือบจะเที่ยงคืน รถปิ๊กอัพเครื่องหมาย สน.พลับพลาไชย มีตู้ขังผู้ต้องหาขับอย่างเร็วผ่านเข้าไปทางถนนวิภาวดี ชนผู้ชุมนุมที่ตกค้างรายหนึ่งกระเด็นแล้วขับต่อไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ชายที่ถูกชนได้อาสาพยาบาลช่วยไว้
“ได้รับการปฐมพยาบาลจากพยาบาลอาสา โดยอาการบาดเจ็บเบื้องต้น คือ ใส่เฝือกคอ มีการบาดเจ็บที่คาง ที่เข่า และมีแผลถลอก โดยผู้ได้รับบาดเจ็บยังได้สติและถามตอบได้” ไอลอว์รายงานเมื่อเช้าวันนี้ ต่างกับที่ตำรวจนครบาลชวนกันยืนเกาะโพเดี้ยมแถลง
ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการปฏิเสธอย่างด้านๆ “ไม่ได้ชนแล้วหนี” อย่างที่เป็นข่าวและชาวบ้านได้ดูคลิปกันอย่างจะแจ้ง พลตำรวจโทคนนี้บอกว่ารถคันดังกล่าวไปเฝ้ารอการสลายชุมนุม เมื่อเหตุการณ์ยุติได้รับคำสั่งให้กลับต้นสังกัด จึงขับผ่านสามเหลี่ยมดินแดง
“กลับพบกลุ่มบุคคล ๖-๗ คน ใช้ของแข็งทุบรถควบคุมผู้ต้องขัง และมีเสียงระเบิด ซึ่งในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขับรถไม่มีอาวุธ เกรงว่าจะได้รับอันตรายและทรัพย์สินเสียหาย จึงได้ขับรถหลบหนี...ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวยังพยายามขัดขวาง
จึงได้มีการเฉี่ยวชนและ ‘ได้หยุดดูแล้ว’ ปรากฏว่าผู้ที่ถูกเฉี่ยวชนไม่ได้รับอันตราย จึงได้ขับรถต่อไป” แต่จากที่เห็นในคลิป ชายคนที่ถูกชนไม่ได้ทำการขัดขวางอะไร เขายืนอยู่ในแนวถนน ไม่มีคนอื่นอยู่เลย รถกระบะตำรวจแล่นพุ่งเข้าชนดื้อๆ
ชายที่ถูกชนกระเด็นไปกองบนพื้นถนน รถปิ๊กอัพขับต่อไปด้วยความเร็วเช่นเดิม จนลับตาไป ผบช.น.บอกว่าไปจอดที่ รพ.พระมงกุฏเกล้า แจ้งตำรวจพิสูจน์หลักฐานไปสำรวจสภาพเมื่อตีสาม พบว่ายางหลังระเบิดแตกวงล้อหลุดเสียหาย
“ทั้งยังได้ลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดง และจะไปร้องทุกข์กลุ่มบุคคลดังกล่าว ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ” ผบ.ตำรวจอ้างด้วยว่าตำรวจคนที่ขับชนนั้นไม่มีอาวุธติดตัว หวั่นอันตราย
“ถ้าจอดตรงนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าตำรวจจะได้รับบาดเจ็บขนาดไหน หรือว่ารถจะเสียหายขนาดไหน เพราะเหตุการณ์มันมีหลายครั้งหลายหนที่กลุ่มบุคคลเข้ามาแล้วเผาทรัพย์สินของทางราชการ เมื่อเร็วๆ นี้ ตำรวจของเราก็ได้รับบาดเจ็บ”
เนี่ยนะ ตำรวจยุคที่มีพวกราชวัลลภเข้าคุมสายการบังคับบัญชามากหน้า มักจะมีชุดข้อเท็จจริงต่างกันเสมอกับชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เหมือนพวกนักเลงหัวไม้ ตีเขาคว่ำลงไปก่อนแล้วค่อยบอกว่า เพราะหวั่นเกรงตนเองจะได้รับอันตราย
แน่ละผู้ชุมนุมวัยรุ่นกลุ่มจักรยานยนต์ได้ต่อสู้กับตำรวจอย่างหักหาญกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว อาวุธที่ใช้ก็เพียงประทัดและหนังสติ๊ก ไม่ได้ร้ายแรงไปกว่ากระสุนยางและแก๊สน้ำตาของตำรวจเลย เมื่อใดที่ตำรวจเข้าประชิดตัว จะโดนทุบตีด้วยกระบองอย่างหนักหน่วง ผู้หญิงหรือเด็กไม่เว้น
“แต่ตำรวจก็ยังไม่เคยใช้อาวุธจริง ใช้เพียงอุปกรณ์ควบคุมการชุมนุม เช่น กระสุนยางและแก๊สน้ำตาเท่านั้น” พ.ต.ท.ภัคพงศ์อ้างถึงเหตุการณ์วันที่ ๑๑ กันยาว่า “ในวันนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บจากวัตถุระเบิดบริเวณใบหน้าและเบ้าตา”
ก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่บอกได้ว่าเป็นลูกหลง ต่างกับกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ซึ่ง คฝ.ยิงใส่ฝูงชนในระดับร่างกาย ไม่ได้ยิงขึ้นสูงหรือลงพื้นตามระเบียบควบคุมอันตรายเกินกว่าเหตุ ซึ่งปฏิญญาสากลระบุไว้ ทำให้ไม่เพียงผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บและถึงตาย
แล้วใยตำรวจยังมีหน้ามากล่าวโทษผู้ชุมนุมว่าทำให้อาวุธที่ใช้ข่มเหงทำร้ายผู้ชุมนุมเสียหายเสียอีก เครื่องมือหลายอย่างที่ทางตำรวจใช้ปราบการชุมนุม พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ความ ‘เว่อ’ เสียจนไปสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านทั่วไป
ตู้คอนเทนเนอร์นั่นอย่างหนึ่ง ไม่เพียงก่อให้เกิดทัศนะอุจาด โดยเฉพาะเมื่อตั้งเรียงไว้หน้าวังหลวง นี่รถฉีดน้ำแรงสูง ‘จีโน่’ เริ่มผันมาใช้ดับเพลิงที่เกิดกับซุ้มเฉลิมพระเกียรติกันแล้ว ทั้งที่ไม่ได้หนักหนามากไปกว่าไฟไหม้ในถังขยะทั่วไป
แก๊สน้ำตาก็เหมือนกันควรจะผันไปใช้กับพวกผู้บัญชาการที่เหี้ย มๆ หลายคน จะได้ภาพลักษณ์สมดุลว่าสามารถ ‘ร้องไห้’ ได้เหมือนกัน
(https://www.facebook.com/themomentumco/posts/2786511551640531 และ https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10165852183890551)