วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 13, 2564

วิ่งไล่ตามปัญหา ทำงานแบบวัวหายแล้วล้อมคอก เรื่องโควิด 19 ในเรือนจำ ณัฐวุฒิ เคยเตือนแล้ว



นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
9h ·

เรื่องโควิด 19 ในเรือนจำผมโพสต์ตั้งแต่ 24 เม.ย. แต่รัฐบาลเพิกเฉย ศบค.ไม่เคยพูดถึง จนการติดเชื้อลุกลามกลายเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ การป้องกันโรคข้างในหวังผลยากด้วยสภาพแออัดและการกักโรคที่แม้จะเข้มแต่เจ้าหน้าที่ต้องเข้าออกทุกวัน โอกาสนำเชื้อเข้ามาย่อมเกิดขึ้นได้
เฉพาะพื้นที่ในรั้วเดียวกันบนถนนงามวงศ์วาน มีเรือนจำ 4 แห่ง โรงพยาบาล 1 โรง ด้านหลังคือแฟลตที่พักเจ้าหน้าที่และครอบครัวเป็นชุมชนใหญ่ถ้ามีผู้ติดเชื้อการแพร่กระจายจะเร็ว และเสี่ยงจะเข้าไปทุกเรือนจำ
เรือนจำให้ผู้ต้องขังใส่หน้ากาก แต่กิจวัตร เช่น อาบน้ำ กินข้าว นอน ต้องทำร่วมกัน ถ้าเจ้าหน้าที่ติดเชื้อผู้ต้องขังที่เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานก็รอดยาก ปกติผู้ช่วยเจ้าพนักงานจะเดินไปได้ทุกแดนตามที่ได้รับมอบหมาย เลิกงานต้องกลับแดน วันหยุดก็ต้องอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอื่น กว่าจะรู้ตัวหรือแสดงอาการอาจไปทั่วเรือนจำแล้ว
แม้หน้างานเป็นของกรมราชทัณฑ์ซึ่งจงใจปกปิดข้อมูลหรือไม่ต้องว่ากัน แต่สถานการณ์นี้คือโรคระบาดระดับโลก นายกฯรวบอำนาจไว้แล้วคนเดียว กรรมการเฉพาะกิจฯก็ตั้งเลขาสมช.เป็นประธาน นัยว่าไว้วางใจ จะปล่อยกรมหรือกระทรวงเดียวรับมือด้วยข้อจำกัดมากมายไม่ได้
หน้าที่หลักของราชทัณฑ์คือขังคนไม่ใช่กักโรค รัฐบาลและศบค.ต้องเท่าทันแต่สิ่งที่เห็นคือไม่ได้ขยับตัวเรื่องนี้เลย โดยเฉลี่ยเรือนจำทั่วประเทศปล่อยตัวผู้ต้องขังเดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ถ้าไม่จัดการให้ดีตั้งแต่ข้างในผลกระทบจะเป็นเรื่องใหญ่ข้างนอก
เร่งฉีดวัคซีนให้ผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ทันทีไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ผู้ต้องขังที่จะได้รับการปล่อยตัวต้องตรวจหาเชื้อและฉีดวัคซีนก่อนอย่างน้อยเข็มแรก ตรวจเชิงรุก คัดแยกกลุ่มเสี่ยง ให้หน่วยงานแพทย์เป็นหลักราชทัณฑ์สนับสนุน มีพื้นที่เรือนจำเปิดหลายแห่งปรับเป็นที่กักตัวหรือโรงพยาบาลสนามได้
ผมเป็นคนเคยคุก เข้าใจและห่วงใยทั้งผู้ต้องขัง ญาติ รวมถึงเจ้าหน้าที่ พวกเขาช่วยตัวเองไม่ได้ รัฐบาลต้องเข้าถึงและทำทันที ก่อนโศกนาฏกรรม