วันพุธ, พฤษภาคม 26, 2564

คนไทยเตรียมรับมือ เมื่อ “ม้าเต็ง” ไม่มีความแน่นอน และวัคซีนโควิด-19 ที่มี ก็อาจไม่ได้มีอยู่จริง - ค.ว.ย.



Gossipสาสุข
14h ·

คนไทยเตรียมรับมือ
เมื่อ “ม้าเต็ง” ไม่มีความแน่นอน
และวัคซีนโควิด-19 ที่มี ก็อาจไม่ได้มีอยู่จริง
.
จนถึงวันนี้ 25 พ.ค. 2564 เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ก่อนที่กระทรวงสาธารณสุข จะเริ่ม “ปูพรม” ฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ก็ยังคงไม่มีความแน่นอนว่าสุดท้าย วัคซีนในมือที่ได้รับภายในเดือน มิ.ย. นั้นจะมีทั้งสิ้นกี่โดส และจะเป็นวัคซีนยี่ห้อใด
.
นั่นทำให้เกิดปรากฏการณ์ตีรวนจากหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ที่ประกาศว่ากำลังถูก “เท” จากรัฐบาล หลายโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ ก็ประกาศว่าไม่มีวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าอีกต่อไป และต้องขอ “เลื่อน” การฉีดวัคซีนออกไปก่อน จนกว่าจะมีของ หรือได้รับของจัดสรรมาอย่างเพียงพอ
.
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณ ขณะนี้ เริ่มมีสัญญาณ “เลื่อน” นัดคิวฉีดวัคซีนแล้ว เพราะอย่างน้อย หลายคนที่ได้รับนัดหมายให้ฉีดช่วงปลายเดือน พ.ค. หรือต้นเดือน มิ.ย. ก็ต้องรอจนกว่าจะได้รับวัคซีนซึ่งสัญญาณจากอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุขล่าสุดที่ประกาศออกมา ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันไหน รู้แต่เพียงว่าภายในเดือน มิ.ย. เท่านั้น
.
ซ้ำยังมีปฏิกิริยาแปลกๆ จาก นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่บอกว่า แอสตร้าเซเนก้า ที่ได้รับมอบในเดือน มิ.ย. น่าจะเป็นการ “นำเข้า” ไม่ใช่การผลิตจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ที่ตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย ซึ่งก็หมายความว่า “ความมั่นคง” ด้านวัคซีน ที่ประกาศกันก่อนหน้านี้ปาวๆ ว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาค เราจะมีวัคซีนผลิตเองใช้เองนั้น ไม่ได้มีอยู่จริง.. และยังเป็นสัญญาณด้วยว่า เมื่อสายพานการผลิตมีปัญหา ล็อตอื่นๆ ที่ตามมาก็อาจจะได้รับช้าตามไปด้วย กลายเป็น “วัคซีนทิพย์” มากกว่าจะเป็นวัคซีนในมือที่มีอยู่จริง
.
แต่ช้าก่อน เสี่ยหนู เพิ่งออกมาบอกว่า วัคซีนในมือที่ได้รับ ไม่จำเป็นต้องเป็น “แอสตร้าเซเนก้า” เท่านั้น เป็นการพลิกคำพูดอีกครั้ง จากที่เคยบอกมาตลอดว่าวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า เป็นวัคซีนหลักของประเทศไทย และผู้ที่ลงทะเบียนผ่าน “หมอพร้อม” ก่อนหน้านี้ จะได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าอย่างแน่นอน กลับกลายเป็นมีความเป็นไปได้ว่า ถ้าอยากฉีดแอสตร้าเซเนก้า ต้องเลื่อนไป หากอยากฉีดเร็ว ต้องฉีดวัคซีนของ “ซิโนแวค” วัคซีนที่ทั่วโลก ไม่มีใครแย่งกันซื้อ ซึ่งกำลังจะมาเพิ่มแน่ๆ ในเดือน มิ.ย. อีก 3 ล้านโดสไปก่อน
.
ปัญหาเรื่องวัคซีน เลยมะรุมมะตุ้มรัฐบาลตลอดหลายวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกลุ่มเสี่ยงที่ลงทะเบียนกับหมอพร้อมไว้ก่อนหน้านี้หลายคนถูกเลื่อนนัด ถูกยกเลิกนัด ไปจนถึงการปรับยุทธศาสตร์การจัดสรรวัคซีนใหม่ จากเดิมที่จะให้เฉพาะผู้สูงอายุ – กลุ่มเสี่ยง 7 โรค ไปสู่การระดมปูพรมฉีดในพื้นที่เสี่ยงแทน จนพื้นที่กรุงเทพฯ กลายเป็นได้วัคซีนกว่า 2.5 ล้านโดส ในเดือน มิ.ย. ขณะที่จังหวัดข้างเคียงได้วัคซีนอย่างนนทบุรี ปทุมธานี ได้ราว 6 หมื่นกว่าโดส มีสมุทรปราการ ที่ได้มากหน่อย 2.5 แสนโดส เพราะมีการระบาดเพิ่มเติมในหลายคลัสเตอร์
.
กระนั้นเอง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยินเสียงบ่น เสียงด่า จากการจัดสรรวัคซีนที่มั่วๆ พิลึก แบบนี้ ก็อดรนทนไม่ได้ ปรับการจัดสรรวัคซีนใหม่อีกรอบ ในที่สุด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค ในฐานะแม่งานหลัก ก็เลยต้องออกข่าวแก้เกี้ยวว่า การจัดสรรวัคซีนพร้อมปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ซึ่งแปลความอีกอย่างได้ว่า อยู่ในระหว่างการ “รื้อ” ใหม่ ยังไม่ชัดเจน และยังบอกไม่ได้ว่าจะชัดเจนเมื่อใด
.
อันที่จริง เรื่องการฉีดวัคซีนนั้นควรจะยืดหยุ่นอยู่แล้ว เป็นต้นว่า ผู้ที่อายุเกิน 60 ปี ในจังหวัดที่มีการระบาดต่ำ ย่อมมีความจำเป็นน้อยกว่าวัยแรงงานที่ต้องพบปะผู้คนจำนวนมากในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง แต่ทั้งนี้ จะยืดหยุ่นได้ก็ต่อเมื่อมีวัคซีนในมือเพียงพอ ไม่ใช่ของจะมา - ไม่มาไม่รู้ แต่โฆษณาไปแล้ว 100 เอาหมอมาโปรโมตก็แล้ว จ้างเอเยนซี ชวนดารามาฉีดกันยกใหญ่ แต่ถึงเวลาจริง กลับไม่มีของ.. เรื่องแบบนี้ ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นจากสาธารณชนต่อรัฐบาลนั้นตกต่ำลงเรื่อยๆ และทำให้บรรดาแพทย์ทั้งหลายที่พยายามเชียร์ให้ “ฉีดไปก่อน” หรือ วัคซีนที่ดี คือวัคซีนที่มี ก็ไม่รู้ว่าจะเชียร์ต่ออย่างไร เพราะวัคซีนที่คิดว่ามี ก็อาจไม่ได้มีเสียแล้ว
.
หากเป็นสถานการณ์ปกติคงไม่เท่าไหร่ แต่ไทยยังคงเจอการระบาดใหม่ขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนแออัด ไม่ว่าจะเป็นเรือนจำ หรือไซต์งานก่อสร้าง กระทั่ง แคมป์คนงานบริษัทชิโนไทยของท่านรัฐมนตรีล่าสุดก็ยังพบผู้ป่วย 500 กว่าคน รวดเดียว ที่น่ากังวลก็คือเริ่มมีเชื้อระบาดไปในบ้านพักคนชราของเอกชน ย่านบางแคอีก 3 แห่ง ซึ่งหากคุมไม่ได้ สถานการณ์จะคล้ายกับในอังกฤษ หรือในประเทศสแกนดิเนเวียเมื่อปีก่อนๆ ที่มีผู้สูงอายุในเนิร์สซิงโฮมนับพัน แล้วปัญหาก็คือ “ซิโนแวค” ที่ไทยใช้เป็นวัคซีนหลักขัดตาทัพขณะนี้ ก็ไม่ได้สร้างภูมิเท่าไหร่จากวัคซีนเข็มที่ 1 และประสิทธิผล - ประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงกับผู้สูงอายุนั้น จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน..
.
เรื่องทั้งหมด ล้วนย้อนศรกลับมาที่ปัญหาเดิม อำนาจทั้งหมดที่ “รวมศูนย์” อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และอยู่ที่ ศบค. นั้น ชัดเจนว่าไม่ได้มีศักยภาพมากพอในการบริหารวิกฤต การประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า การบริหารทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างวัคซีน ทั้งหมดนี้ประกอบรวมกัน ได้ทำให้ไทยเสีย “นาทีทอง” ที่ควรจะฟื้นตัวเร็วจากวิกฤตออกไปอีกครั้ง
.
นั่นหมายความว่า คนไทย จะต้องใช้ชีวิต “วนลูป” แบบเดือน เม.ย. และ พ.ค. ต่อไปในเดือน มิ.ย ทั้งที่ควรเป็นเวลาที่จะเริ่มฉีดวัคซีน ทั้งที่เป็นเวลาที่พื้นที่อย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ควรมีอัตราผู้ติดเชื้อที่ลดลงได้แล้ว และหมายความว่า ระบบสาธารณสุข หมอ – พยาบาล - บุคลากรทางการแพทย์ ก็ต้องเหนื่อยกันต่อไป
.
และทำให้เป้าการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส หรือจบเรื่องการระบาดนี้ ภายในสิ้นปีนี้ ห่างไกลออกไปทุกที
#COVID19 #โควิด19 #วัคซีนโควิด #Gossipสาสุข
.....