อ่านและย่อย ข้อเสนอ ๔ ปฏิรูปของ ‘ปิยบุตร’
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าเขียนบทความเชิงวิชาการถึงหลักการ ‘หยุดยั้งวงจรรัฐประหาร’ ว่าต้องทำการปฏิรูป ๔ อย่าง คือ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ และปฏิรูปศาลกับองค์กรอิสระ”
ทำไมต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพราะกษัตริย์เป็น fait
accompli จุดสำเร็จ (ความใคร่) ของการรัฐประหาร
เนื่องจากกษัตริย์มีอำนาจเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญ (ในระบอบรัฐสภา)
และมีกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ไว้เป็นศาสตราห้ำหั่นผู้ไม่เห็นพ้อง
ในเนื้อหาการปฏิรูปนี้ เขาลงรายละเอียดว่า หนึ่งกำหนดหน้าที่กษัตริย์ให้ต้อง
‘พิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ และปฏิญานตนว่าจะทำหน้าที่นี้ก่อนการสถาปณาขึ้นเป็นประมุข
ทั้งนี้โดยกำหนดบทบาทของกษัตริย์ไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องตีความกันอีก
ดังนั้นต้องไม่มีองคาพยพต่างๆ
ซึ่งเป็นเครื่องเสริมอำนาจกษัตริย์ ‘เหนือ’ รัฐธรรมนูญ
คือ “ยกเลิกองคมนตรี
ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจกำหนดเงินรายปีให้สถาบันกษัตริย์
แก้กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สิน และปรับแก้ ‘ราชการส่วนพระองค์’
ในสองกรณีหลังคือการแยก ‘ทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ จากกัน ทรัพย์สินในนามสถาบันนั้นเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ต้องให้ “คณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจการจัดการ”
สำหรับราชการส่วนพระองค์ ไม่ทรง “บริหารราชการและประกอบธุรกิจ”
ด้านการปฏิรูปรัฐธรรมนูญนั้น “จำเป็นต้องยกเลิกและจัดทำใหม่ทั้งฉบับโดยมาจากฉันทามติร่วมกันของประชาชน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลบล้างมรดกรัฐประหาร ป้องกันรัฐประหาร และหยุดการสืบทอดอำนาจ” ได้แก่
ยกเลิก ม.๒๗๙ ที่บอกว่าให้
คสช.มีอำนาจตามคำสั่งที่เคยประกาศไว้ตลอดไปชั่วกัปกัลป์ หรืออสงไขย
อีกทั้งยกเลิกแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ ยกเลิกวุฒิสภาตู่ตั้งไปเลย
เหลือสภาเดียว และเพิ่มบทบัญญัติใหม่ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร”
ส่วนบรรดาคำสั่ง
คสช.ที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งยังเป็นประโยชน์ ‘โดยสุจริต’ ก็ให้ปรับไปเป็นกฎหมายปกติและระเบียบราชการตามแนวระบอบ
‘รัฐธรรมนูญ-รัฐสภา’ ประชาธิปไตย
จากนั้นให้ตั้ง ‘กรรมการยุติธรรม’ ชำระผลกระทบอำนาจรัฐประหาร
โดยเฉพาะ “ยุติการดำเนินคดีต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาหรือฟ้องร้องในคดีทางการเมือง
และตรากฎหมายนิรโทษกรรมในคดีการเมืองให้แก่ ‘ผู้ต้องหาและนักโทษ’ ของระบอบ คสช. ตั้งแต่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗”
ส่วนการปฏิรูปกองทัพ
เพื่อไม่ให้คอยจ้องแต่จะครองอำนาจด้วยการรัฐประหาร
นอกจากระบุจะแจ้งในรัฐธรรมนูญว่ารัฐบาลพลเรือน “อยู่เหนือกองทัพ” แล้ว “แก้ไขกฎหมายกระทรวงกลาโหม
การแต่งตั้งข้าราชการทหารเป็นอำนาจของรัฐบาล มิใช่ผู้บัญชาการเหล่าทัพ”
แล้วยัง “กำหนดให้มีคณะผู้ตรวจการกองทัพมาจาก
ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ๕ คน ส.ส.ฝ่ายค้าน ๕ คน ทำหน้าที่ตรวจสอบ” ตั้งแต่งบประมาณ รายได้
การจัดซื้อจัดจ้าง การร้องเรียนของข้าราชการทหาร
รวมทั้งให้ผู้ตรวจการสองคนไปอยู่ในสภากลาโหม
นอกนั้นให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ
ยกเลิกศาลทหาร ยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ แก้ไข
พรบ.กฏอัยการศึกให้สอดคล้องทั้งหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ยกเลิก กอ.รมน. “ห้ามมิให้กองทัพประกอบธุรกิจการพาณิชย์”
เป็นต้น
และในการปฏิรูปศาลและองค์กรอิสระนั้น ปิยบุตรเอ่ยถึงการที่ศาลเป็นผู้ประทับตราให้แก่อำนาจรัฐประหาร (เช่นคำตัดสินที่บอกว่าคณะแย่งอำนาจเมื่อทำสำเร็จก็เป็น ‘รัฏฐาธิปัตย์’) แสดงว่า ตลก.นั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งในต้นตอปัญหา ‘ไม่ประชาธิปไตย’
ข้อเสนอแก้ไขของเขาเจาะจงให้ “กำหนดการได้มาซึ่งผู้พิพากษาศาลฎีกาและตุลาการศาลปกครองสูงสุด
ให้ ก.ต.และ ก.ศป.เสนอรายชื่อ...ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบ” ทั้งนี้
กรรมการตุลาการและศาลปกครอง “เชื่อมโยงกับประชาชนหรือสภาผู้แทนราษฎร”
ไม่เท่านั้น ให้ “ปรับปรุงระบบการสอบคัดเลือกผู้พิพากษา
ตุลาการ ให้เสมอภาคเท่าเทียม ยกเลิกการสอบ ‘สนามเล็ก-สนามจิ๋ว’
(ที่เป็นการใช้ ‘อภิสิทธิ์’ เอารัดเอาเปรียบกัน)
รวมถึงแก้ไของค์ประกอบและการได้มาของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ
ข้อสำคัญต้อง “ยกเลิกกฎหมายความผิดฐานดูหมิ่นศาล
จำกัดกฎหมายความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลไว้อย่างจำกัดอย่างยิ่งเฉพาะกรณีก่อความวุ่นวายในศาลและขัดขวางการพิจารณาคดี”
เช่นนี้ศาลสามารถถูกลงโทษเมื่อ “บิดเบือนกฎหมาย”
สุดท้าย
แก้ไขกฎหมายเพื่อให้ศาลสามารถพิจารณาคดีรัฐประหารได้ คือให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เป็นผู้เสียหายในความผิดฐาน ‘กบฏ’ ของคณะรัฐประหาร ตามมาตรา ๑๑๓ เมื่อมีการฟ้องร้อง “ศาลต้องพิจารณาพิพากษาให้แล้วเสร็จภายใน
๒๔ ชั่วโมง”
ดูฉบับเต็มได้ที่ https://progressivemovement.in.th/article/4374NkuRI