วันจันทร์, พฤษภาคม 24, 2564

23 พฤษภาคม 2564 11 ปีหลัง big cleaning day



Jay Pattajit Tangsinmunkong
23h ·

“สำหรับผม...Big Cleaning Day คือการเอาเก้าอี้ฟาดศพซ้ำ ๆ แบบตอน 6 ตุลา”
.
ไม่นานมานี้ เจได้ยินคำพูดนี้จากรุ่นพี่ที่เคารพท่านนึง ที่เริ่มออกมาเคลื่อนไหวเพื่อทวงความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงตั้งแต่เมื่อ 11 ปีที่แล้ว...
.
ยอมรับว่า ตอนที่ได้ยินประโยคนี้...อึ้งไปหลายนาทีค่ะ แต่ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมาย...จนกระทั่งได้มีโอกาสมาอ่านออกเสียงรายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค. 53 บน Clubhouse ...ทำให้เราเข้าใจคำพูดนี้อย่างถ่องแท้ค่ะ...
.
เหตุการณ์นี้ อำมหิตยังไง?
.
อำมหิตแรก คือ ความอำมหิตโดยรัฐ...ที่ฆาตกรรมผู้ชุมนุมที่ใส่เสื้อแดงกลางกรุงเทพ ฯ ทั้ง ๆ ที่คนกลุ่มนี้ออกมาเรียกร้องเพียงการยุบสภาและการเลือกตั้ง แต่กลับถูกรัฐและสื่อในช่วงนั้นเรียกว่า ผู้ก่อการร้าย ผู้ก่อความไม่สงบ เป็นโจรเหิมเกริม โจรป่วนเมือง...จนนำไปสู่การสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริงกว่าแสนนัด ที่ทำให้มีคนตายกลางกรุงอย่างน้อย 99 ศพ...
.
...“ระหว่างวันที่ 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553 มีการระดมกองกําลังมาล้อมปราบกว่า 50,000 นาย เบิกกระสุนมาใช้รวม 597,500 นัด ใช้ไปถึง 117,923 นัด กระสุนที่ เบิกจ่ายไปเป็นกระสุนที่ใช้สําหรับการซุ่มยิง 3,000 นัด ใช้ไป 2,120 นัด” ...ตัวเลขนี้ น่าจะเชื่อถือได้เพราะเป็นคำพูดของ พ.ต.ท. สมชาย เพศประเสริฐ ณ รัฐสภา เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554
.
ในจำนวนคนตายอย่างน้อย 99 คนนี้ มีเด็กอายุ 12 ปี 1 คน เด็กอายุ 17 ปี 1 คน...มีอาสาสมัครทางการแพทย์ที่รีบออกมาจากบ้านหลังได้รับโทรศัพท์ว่ามีคนถูกยิงในขณะกินข้าวไข่เจียวกับครอบครัว...และมีพยาบาลที่ถูกยิงจนร่างพรุนด้วยกระสุนเกือบสิบนัด ในขณะที่กำลังปฐมพยาบาลอยู่ในเขตอภัยทาน...
.
คนเหล่านี้ ต้องตาย ในฐานะ “คนชั่ว” ที่ไม่มีสิทธิ์ แม้กระทั่งให้กรรมเป็นผู้พิพากษา...
.
อำมหิตสอง คือ การร่วมกันทำลายหลักฐานของคนในเมืองหลวง ...
การที่คนกลุ่มนึงถูกฆ่ากลางเมืองหลวง โดยที่ผู้สั่งฆ่ายังลอยนวลพ้นผิด มันโหดร้าย อำมหิต...
แต่มันยังไม่อำมหิตเท่ากับการที่คนที่อ้างว่าศิวิไลซ์ที่สุด มีการศึกษาดีที่สุด ในเมืองที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงสุดในประเทศร่วมกันออกมาทำลายหลักฐาน...ด้วยการ “ทำความสะอาด” สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม...ล้างคราบเลือด ล้างเศษสมองที่ถูกกระสุนเป่าจนกระจุย ลงในท่อระบายน้ำ
.
...โดยเชื่อว่า ตนเองกำลังออกมาทำความดี และกำลังบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อยู่...และบางคน ไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แม้เวลาผ่านมาเป็น 10 ปี...
.
อำมหิตสาม คือ การร่วมกัน “ลืม” ของคนในสังคม...ทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แม้เวลาจะล่วงเลยมาเป็น 10 ปี คนจำนวนมากในสังคม...ไม่...แม้แต่จะรับรู้ว่ามีคนนับร้อยถูกฆ่าตายกลางเมืองหลวง...หรือไม่...ก็คิดว่านี่เป็นปัญหา “การเมือง” เป็นเรื่องไกลตัว...ไม่แม้แต่คิดว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาที่ควรค่าแก่การใส่ใจ...
...
...
เรารู้ว่าความอำมหิตมันเปรียบเทียบกันไม่ได้...แต่ศพที่ถูกเก้าอี้ฟาดใน 6 ตุลา...ด้วยความพยายามเก็บรวบรวมหลักฐาน และการออกมาส่งเสียงของคนกลุ่มหนึ่ง...อย่างน้อย ในปัจจุบัน เรายังเห็นหลักฐานความรุนแรงอย่างเป็นรูปธรรม...
ศพยังมีหน้าตา มีรูปภาพ มีพื้นที่ในสื่อในฐานะหลักฐานความรุนแรงโดยรัฐและสังคม...
มีคนพูดถึงในฐานะบทเรียนแม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 50 ปี...
.
แต่การที่มีคนนับร้อยตายกลางเมืองหลวง มีคนไปร่วมทำลายหลักฐานการฆาตกรรมภายใต้ชื่อของการ “บำเพ็ญประโยชน์” แล้วจบลงด้วยการเฉลิมฉลองว่า กรุงเทพได้กลับมาสะอาดเหมือนเดิม และการผลิตซ้ำวาทกรรมว่าคนเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เป็นคน “เผาบ้านเผาเมือง” “คนล้มเจ้า” และคนอีกฝั่งเป็น “ม็อบรักชาติ” ต่อมาอีกเป็น 10 ปี...
.
มันคือการที่คนในสังคมถือเก้าอี้ไปฟาดศพคนตายกันคนละที...ตบหน้าญาติผู้สูญเสียที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างศพกันคนละฉาด...เสร็จแล้ว เอามือไปอุดปากไม่ให้ญาติเหล่านี้ร้องไห้ออกมาได้เต็มเสียง ไม่ให้เขาเหล่านี้ร้องหาความยุติธรรมได้เต็มปาก...
.
จากนั้น ก็หยิบถุงมือธานอสขึ้นใส่แล้วดีดนิ้ว...ทำให้ศพหายไปจากความทรงจำของสังคม...แล้วก็พูดประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันว่า นี่คือสังคมเมืองพุทธที่สามัคคี นี่คือสังคมแห่งการประนีประนอม...
.
และคนจำนวนมาก ไม่มีโอกาสแม้แต่จะถอดบทเรียนจากศพคนตาย...
ในตอนที่กลิ่นคาวเลือดยังไม่ทันจางหายจากความทรงจำของครอบครัวผู้สูญเสีย...ตอนที่ "บาดแผล" ของประเทศยังไม่หายสนิท...คนจำนวนมากเป่านกหวีดเชิญชวนให้ทหารออกมา "ข่มขืน" ประเทศไทยซ้ำด้วยการทำรัฐประหารหลังจากเหตุการนี้ผ่านไปเพียง 4 ปี
...
...
สำหรับคนที่คิดว่าการกระทำของรัฐนั้นถูกต้อง...และคนเสื้อแดงยังเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย เศษเลือด เศษสมองของคนกลุ่มนี้เป็นสิ่งสกปรกที่ต้องทำความสะอาด...เราอยากชวนตั้งคำถามค่ะ
.
ว่าหากกลุ่มคนเสื้อแดง เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ตามที่รัฐกล่าวอ้างจริง...
.
ทำไม...รัฐไทย ที่ภูมิใจนักหนากับการรักษาเอกราชของชาติไว้ได้ในช่วงล่าอาณานิคม...และภูมิใจยิ่งกับชัยชนะเหนือลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น...จึงไม่ออกมา ประกาศ “ชัยชนะ” เหนือ “กลุ่มผู้ก่อการร้าย” อย่างน้อย 99 คนนี้ อย่างภาคภูมิใจ...
ทำไม...รัฐจึงอ้อมแอ้มไม่ออกมายืดอกรับผลงานที่ทำเพื่อ “ความมั่นคง” อย่างเต็มปาก...
ทำไม...รัฐจึงพยายามเงียบ ทำไมจึงพยายามลดทอนความรุนแรงของเหตุการณ์ลง...จนเรา แทบจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ของการสลายการชุมนุม...มาตลอดระยะเวลา 10 ปี...
.
ในฐานะคนไทย ที่ต้องเรียนรู้และภาคภูมิใจกับประวัติศาสตร์ของชาติตน...มันเป็น “หน้าที่” ของเราค่ะ ที่จะต้องรับรู้ ศึกษาว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทิ้งผลลัพธ์อะไรไว้บ้าง...เพราะเราต้องส่งต่อประวัติศาสตร์ที่เราภาคภูมิใจให้ลูกหลานต่อ
...
...
สำหรับคนแบบเรา...ที่เคย เป็น “เสื้อเหลือง” เคยเป็น “สลิ่ม” เคยเห็นดีเห็นงามกับม็อบนกหวีด เคยเป็น ignorant...แต่ตอนนี้ รู้ผลการกระทำของตัวเองแล้ว...
.
วันนี้ ทุกคนคงรู้แล้วว่า ความเพิกเฉยของเราทำให้ผู้มีอำนาจประดิษฐ์เหตุผลและวาทกรรมในการสั่งฆ่าคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างชอบธรรมได้อย่างไร...
.
คุณอาจจะคิดว่า เมื่อ 11 ปีที่แล้ว...สิ่งที่พวกเราเคยเชื่อ คนที่พวกเราเคยเป็น เป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงอย่างเป็นระบบ...พวกเราอาจจะเคยเชื่อไปแบบนั้น เพราะสื่อหลัก เพราะการปฏิบัติการทางข้อมูล เพราะ propaganda ที่ป้ายสีคนเสื้อแดงอย่างเป็นระบบ...
.
แต่มันปฏิเสธไม่ได้ค่ะ ว่าผลจากความเชื่อนั้น คนอย่างพวกเรา ก็คือหนึ่งในคนที่เอาเก้าอี้ไปฟาดศพ ด้วยการผลิตซ้ำความเชื่อว่าคนกลุ่มนี้ควรถูกกำจัดอย่างชอบธรรม...
และเราเป็นหนึ่งในคนที่พรากใบหน้า พรากรายชื่อไปจากศพ และช่วยกันทำให้ศพสูญหาย...ด้วยการเงียบ ด้วยการลืม...มิหนำซ้ำ พวกเราเป็นคนที่กรีดหัวใจของญาติผู้สูญเสีย...ด้วยการทำให้เค้ารู้สึกว่า ศพคนตาย ไม่มีค่าพอที่จะทำให้สังคมจดจำ
.
และความเกลียดชังที่มีต่อคนเสื้อแดง ชุดความเชื่อผิด ๆ ชุดเดิมที่ฝังหัวอยู่มาจนถึงเมื่อ 7 ปีก่อน ก็ทำให้เราเห็นชอบกับการทำรัฐประหาร...และสุดท้าย ก็ได้นำพาประเทศมาสู่ความตกต่ำจนถึงทุกวันนี้
...
...
ค่ะ...เราย้อนกลับไปแก้อดีตไม่ได้ แต่เราเชื่อนะว่า...ทัศนคติและท่าทีต่ออดีตของเราจะนิยามสิ่งที่เราเป็นในปัจจุบัน และจะควบคุมการกระทำของเราในอนาคต
.
ในฐานะของคนที่เคยทำผิดมาก่อน...เจอยากใช้พื้นที่ตรงนี้ กราบขอโทษคนเสื้อแดง ญาติผู้สูญเสีย และทุกคนที่สู้เพื่อประชาธิปไตยมาก่อนอีกครั้งค่ะ
.
ในขณะเดียวกัน ก็อยากเชิญชวนให้คนที่มีจุดยืนร่วมกัน แต่ยังไม่เคยแสดงออก ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น โดยกล่าว “ขอโทษ” ด้วยความสำนึกในหน้าที่กันค่ะ...
.
ขอโทษ...ด้วยหน้าที่ในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ที่เคยเพิกเฉยต่อความรู้สึกสูญเสียของเพื่อนร่วมชาติและทิ้งให้คนกลุ่มนี้เผชิญกับความเดียวดาย และคำถามที่ไม่มีคำตอบมาเป็น 10 ปี
.
ขอโทษ...ด้วยหน้าที่ในฐานะมนุษย์คนนึงที่มีเหตุผลและมโนสำนึก...ที่รู้ว่า เมื่อทำผิดและสำนึกผิดแล้วจะต้องขอโทษ และเมื่อขอโทษแล้ว คำขอโทษนี้จะเป็นพันธะสัญญาว่า เราจะไม่ทำผิดซ้ำ
.
และขอโทษ...ด้วยหน้าที่ในฐานะพลเมืองคนไทยคนนึง ที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้วงล้อประวัติศาสตร์ เดินมาถึง ณ จุด ๆ นี้...ที่ความตายของเหยื่อเป็นเพียงเชิงอรรถ ความรุนแรงเป็นเรื่องเล่าระหว่างบรรทัด และ การรัฐประหารเป็นจุดมาร์คหลักของไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ไทย
.
การยอมรับผิด และคำขอโทษ ไม่ได้หมายถึงการเสียศักดิ์ศรีค่ะ กลับกัน มันคือการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับเพื่อนร่วมชาติที่เคยถูกเข้าใจผิด คืนสถานะและคำนิยามการต่อสู้ของคนเสื้อแดงสู่หน้าประวัติศาสตร์อย่างเหมาะสม และคืน “ความเป็นมนุษย์” ให้กับหัวใจของคุณเองค่ะ
.
คำขอโทษ คือ สาส์นถึงสังคมที่จะปลุกให้คนตื่นรู้และตั้งคำถามต่ออดีตที่เลยผ่านแต่ยังไม่ผ่านพ้น
.
คำขอโทษที่ดังพอ คือ การขัดขืนต่อการควบคุมประวัติศาสตร์ของผู้มีอำนาจ เป็นการประกาศกร้าวว่า รัฐไม่สามารถปิดตาคนด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออีกต่อไป เรารู้แล้วว่าใครทำผิด ใครเป็นผู้ถูกกระทำ และวันนึง คนทำผิดจะต้องรับโทษอย่างสาสม
.
และที่สำคัญยิ่ง คำขอโทษ คือ พันธะสัญญาต่อคนรุ่นหลัง ว่าเราจะขัดขืนทุกวิถีทาง เราจะไม่เป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” ของรัฐที่ทำให้ความรุนแรงเกิดซ้ำในหน้าประวัติศาสตร์ไทย...และจะไม่ยืนมองดูทหาร “ข่มขืน” ประเทศซ้ำอีกด้วยการรัฐประหาร
......
เรียน คนเสื้อแดง และทุกท่านที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาก่อนค่ะ
.
อย่างไรก็ตาม...การขอโทษและการออกมาพูดในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อเรียกร้องขอให้คุณทุกคนให้อภัยค่ะ เพราะคนที่ผ่านการสูญเสีย ผ่านการเข้าใจผิดและถูกกระทำ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเจ็บแค้นและโกรธเคืองต่อ...
.
คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้อภัย เท่า ๆ กับที่เรามีสิทธิ์ที่จะกล่าวคำว่าขออภัยค่ะ
.
แต่อย่างน้อย หวังว่าพวกคุณจะไม่รังเกียจ ที่เราจะยืนหยัดอยู่ข้าง ๆ คุณ ยึดอุดมการณ์เดียวกับคุณ แล้วสู้เพื่ออนาคตของประเทศนี้ไปด้วยกัน
.
ด้วยความเคารพจากใจจริงค่ะ
เจ
23 พฤษภาคม 2564
11 ปีหลัง big cleaning day