วันเสาร์, มกราคม 02, 2564

มีทวิตเตอร์เทรดหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงไปม็อบ #SCB พยายามอธิบายเรื่อง #ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์



Pipob Udomittipong
16h ·

มีทวิตเตอร์เทรดหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงไปม็อบ #SCB พยายามอธิบายเรื่อง #ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เขาถามว่ารู้มั้ยว่า Buckingham Palace ไม่ใช่เป็นสมบัติส่วนตัวของควีน แม้จะเป็นที่ประทับของพระองค์ และแม้ปราสาทหลังนี้ กษัตริย์ George III ซื้อมาตั้งแต่ 200 กว่าปีก่อน เพราะอะไร? https://twitter.com/ttiger_p/status/1332567932707110912?s=20
เพราะเมื่อเข้าสู่ยุคประชาธิปไตย เขาแยกระหว่าง #ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กับ #ทรัพย์สินส่วนพระองค์ มีการออกเป็นกม. Crown Estate Act เมื่อปี 1961 กำหนดให้มีหน่วยงานธุรกิจอิสระที่ชื่อ Crown Estate ดูแลทรัพย์สินเหล่านี้ ในฐานะประมุขของประเทศและในทางเทคนิค ควีนจึงอาจเป็น “เจ้าของ” บัคกิงแฮมพาเลซ แต่เอาไปขาย เอาไปให้ใครเช่าไม่ได้ เป็นเรื่องของ Crown Estate ที่จะเอาทรัพย์สินเหล่านี้ไปทำกำไร เมื่อได้รายได้มาจึงมาแบ่งให้กับราชวงศ์ อันนี้เป็นไปตามกม.อีกฉบับคือ Sovereign Grant Act
ที่ #หมอตุลย์ บอกว่า “วังคือเงินที่พระมหากษัตริย์สร้างมา จึงเป็นของ Kings” จึงไม่ผิดถ้าเรายังอยู่ในยุคสมบูรณ์สิทธิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
...
เทรดต้นทางแต่วังถือเป็นทรัพย์สินที่ควีนใช้ได้ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเท่านั้น ถ้าสละบัลลังก์แล้ววังจะต้องถูกส่งคืนกรรมสิทธิ์ให้กับ Crown Estates ซึ่งขึ้นตรงกับรัฐบาลและมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับกษัติรย์ ซึ่งจะแยกชัดเจนระหว่างทรัพย์ส่วนตัว กับทรัพย์ที่ใช้ได่ขณะดำรงตำแหน่ง (2)

ตัวอย่างง่ายๆคือ ควีนจะไม่สามารถที่จะอยู่ๆเอาของที่อยู่ในวังมาไปขายแล้วนำเงินเข้ามาเป็นของตัวเองได้ ตัดภาพมาที่เมืองไทยที่ตั้งสำนักงานทรัพย์ฯขึ้นมาก็เพื่อมีจุดประสงค์เดียวกันกับแบบที่อังกฤษ ซึ่งทรัพย์ส่วนของกษัตริย์ไทยก็ไม่ได้มีแค่วังแต่รวมไปถึงตึกที่ดินอาคารหุ้น รวมถึงscbด้วย(3)

แต่ในทางปฏิบัติที่เมืองไทย หน้าที่และอำนาจในการบริหารจัดการทรัพย์สินกษัตริย์ค่อนข้างคลุมเครือ และไม่ได้ขึ้นตรงกับรัฐแต่ขึ้นตรงกับกษัตริย์ ซึ่งสามารถแต่งตั้งใครก็ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งในสำนักฯ ทำให้การที่กษัตริย์จะนำทรัพย์ส่วนนี้ไปใช้ขายหรือทำอะไร ไม่มีใครตรวจสอบหรือกล้าขัดได้ (4)

แต่อย่างน้อยในสมัยร.9ชื่อทรัพย์ต่างๆยังอยู่ภายใต้สำนักทรัพย์ ทำให้เวลาแจ้งยอดเงินที่มีร.9จึงไม่ได้ติดอันดับกษัตริย์ที่รวยต้นๆของโลกเพราะไม่ได้รวมงบส่วนที่อยู่ในการดูแลของสำนัก อ.เจียมเคยวิจารณ์ว่าทรัพย์พวกนี้ในความเป็นจริงคือแยกไม่ออกว่าอันไหนของสำนักอันไหนของส่วนตัว (5)

แต่มาสมัยปัจจุบันร.10 มีการเปลี่ยนโครงสร้างสำนักทรัพย์ฯ โดยเปลี่ยนให้ทรัพย์ทั้งหมดโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของกษัตริย์ทั้งหมด จึงเป็นที่มาว่าอยู่ๆทำไมรวยติดอันดับโลกเพราะถูกนำมูลค่าเงินเหล่านี้มารวมเป็นเงินส่วนตัว ตั้งแต่ปี61 ซึ่งมันไม่ควรทำได้ และตรวจสอบไม่ได้(6) 

มีการพยายามเลี่ยงคำที่ระบุตัวตนของสำนักงานทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น “นิติบุคล” “เอกชนที่เป็นของรัฐ” “รัฐวิสาหกิจ” จนสุดท้ายงงไปหมดและไม่ต้องเสียภาษี เพราะฉะนั้นเราจึงควรไปม้อบเพื่อให้เรื่องนี้ได้ถูกตรวจสอบและพูดถึงในสังคม (จบ)

https://twitter.com/SimonKtc/status/1331400292445941760...
อานนท์ นำภา
7h ·
ตำรวจบอกว่าการทำให้คนเสื่อมศรัทธาต่อกษัตริย์เป็นความผิด 112
ถ้าผมบอกว่า “กษัตริย์คนนี้ทำตัวขัดกับหลักการประชาธิปไตย เบียดบังเอาทรัพย์สินของประเทศไปเป็นของตนเอง ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย” แบบนี้คนใดได้ยินได้ฟังย่อมเสื่อมศรัทธาต่อกษัตริย์อย่างแน่นอน
แต่ !!! แบบนี้ ผมควรมีโทษจำคุก 3-15 ปีหรือ ?
สังคมไม่ควรสยบยอมให้ 112 มาปิดปากการพูดถึงกษัตริย์ในแง่ไม่ดี ถ้าเรื่องนั้นเป็นความจริง และเป็นเรื่องสาธารณะ คนย่อมสามารถพูดถึง วิพากษ์วิจารณ์ได้ และด่าได้ด้วย
การยืนตัวตรง พูดคงามจริงคือสิ่งที่ต้องเป็นไป
ปี 2564 จะเป็นปีแห่งการพูดความจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
เข้าใจตรงกัน !!!
...
อานนท์ นำภา
December 25, 2020 at 1:56 AM ·

ตัวอย่างของ “อภิสิทธิ์ชน” หรือคนที่มีสิทธิ์เหนือคนอื่นที่ชัดเจนตอนนี้คือในหลวงรัชกาลที่ 10
และนี่คือสิ่งที่ราษฎรพยายามบอกกับสังคมว่า กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถทำได้ อันนำไปสู่ข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
การเดินทางไปทำบุญหรือไปเที่ยวบนค่าใช้จ่ายของรัฐที่ล้นเกินอย่างที่เป็นอยู่ไม่ใช่หนทางที่จะกอบกู้ความศรัทธาของสถาบันกษัตริย์กลับมาได้ ในทางตรงข้ามประชาชนจะยิ่งเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์เพิ่มขึ้นต่างหาก
การอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัด พอเหมาะ พอควรต่างหาก จะนำความศรัทธากลับมา
เสียง “ทรงพระเจริญ” จากคนที่ถูกเกณฑ์มาต้อนรับอาจดังต่อเบื้องหน้าท่าน แต่เสียงก่นด่าไม่พอใจก็กำลังค่อยๆดังขึ้นอย่างกว้างขวางเช่นกัน