วันศุกร์, มกราคม 15, 2564

‘ตู่’ จะหล่นหลังเสือก็เรื่องราคา 'ยา' โควิดนี่ละมัง "วัคซีนจีนทำไมแพงเว่อ...ถ้า 'แอสตร้าเซเนก้า' ยั๊วขึ้นมาจะหวาดเสียว"


เห็นท่า ตู่ จะตกหลังเสือก็เรื่อง ยา นี่ละมัง โควิดพิษยังไม่ร้ายเท่าไรนัก แต่วัคซีนนี่ผลข้างเคียงตอนยังไม่ได้ซื้อชักจะหนัก เวลาสั่งดันเอาซะแพงโลด พอตอนซื้อจะให้ท้องถิ่นจ่ายกันเอง เจอฝ่ายค้านโวยไม่เท่าชนิดที่สั่งนั่นด้อยประสิทธิภาพ

ชาวบ้านกระหน่ำกันแหลกมาสองสามวันแล้วเรื่องวัคซีน โคโรน่าแว็ค ของบริษัท ซิโนแว็ค จากจีนที่มีเจ้าสัวซีพีถือหุ้น ผลทดสอบการใช้งานที่บราซิลล่าสุด ได้คะแนนแค่ ๕๐% เส้นตาย และไม่บังเอิญที่รัฐบาลประยุทธ์สั่งซื้อไว้ ๒ ล้านหลอด (โดสเซส)

แต่แล้วปรากฏว่าสนนราคาของวัคซีนจากจีนแพงที่สุดในโลก ตามรายละเอียดที่รายการ สนธิท้อคบอกผู้ชมว่าวัคซีน ซีโนฟาร์ม ราคาโดสละ ๔,๕๐๐ บาท ซึ่งอันนี้คนละยี่ห้อกับ โคโรน่าแว็คของซีโนแว็คที่ตู่สั่งซื้อ

ซีโนฟาร์มเป็นบริษัทจีนที่วัคซีนผ่านการรับรองจากรัฐบาลก่อนเพื่อน แต่มีข้อเสียค่อนข้างแรงกว่ายี่ห้ออื่นๆ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จีนเพิ่งออกมาตำหนิว่า มีผลข้างเคียงถึง ๗๓ รายการ บางอย่างรุนแรง เช่นทำให้ความดันโลหิตสูง


แล้วยังทำให้เกิดอาการสายตาพร่ามัว การขับถ่ายปัสสาวะไม่ปกติ และสูญเสียการสัมผัสรสชาติอาหารของลิ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับผลข้างเคียงทั่วไปของวัคซีนจากซีโนแว็คและแอสตร้าเซเนก้า ที่ทำให้เกิดการอ่อนล้า ปวดหัว ปวดเมื่อย และเป็นไข้

เปรียบเทียบราคาวัคซีนจากที่ ไฟแน้นเชียล ไทม์ประมวลไว้ วัคซีนของซีโนแว็คราคาที่โดสละ ๙๐๐ บาท ขณะที่ของแอสตร้าเซเนก้าเพียง ๕๐ บาท (ในอังกฤษ) ส่วนของไฟ้เซอร์ราว ๕๗๕ บาท เหล่านี้เมื่อไปถึงไทยอาจบวกค่าโสหุ้ยและผลกำไร

อย่างไรก็ดี มีสมาชิกทวิตเตอร์รายหนึ่ง Auntie Rebel @uk_naja เขียนสนทนากับ @moui ว่า “อ่านข่าวที่อังกฤษเห็นบอกว่า อังกฤษเป็นประเทศเดียวที่จะขายวัคซีนให้กับประเทศที่ยากจนหรือประเทศที่มีรายได้ต่ำในราคาต้นทุนค่ะโดยไม่บวกกำไร”

ดราม่าก็เลยบังเกิด ดัง noname @noname_8 ทวี้ตเหน็บ “หืออออออออออ วัคซีนจีน ทำไมแพงเว่อๆๆ แพงชิบหายขายตัว กะให้ใครถอนทุนที่ลงหุ้นไปเหรอ” ไม่เท่านั้น ขณะนี้มีการตื่นตัวขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นหลายแห่งเตรียมงบประมาณซื้อวัคซีน

นัยว่ารัฐบาลจะผลักภาระค่าวัคซีนโควิดไปให้ท้องถิ่น เนื่องจากวัคซีนที่สั่งไว้ไม่เพียงพอสำหรับคนทั้งประเทศ เทศบาลนนทบุรี เทศบาลแหลมฉบัง และเทศบาลหาดใหญ่ออกมาแถลง (เหมือนจะแข่งขัน) ว่าใครสามารถจัดหาวัคซีนได้มากกว่ากัน

โดยเฉพาะเทศบาลหาดใหญ่บอกว่าเตรียมงบฯ ไว้แล้ว ๒๐๐ ล้านบาท เพื่อบริการฉีดให้แก่คนในท้องที่ได้ทันที ๑ แสนคน ส่วน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้เสนอตัวเข้าแข่งรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เสนอวิสัยทัศน์การจัดซื้อวัคซีนโควิด

ว่าจะให้ กทม.จัดงบประมาณ ๘,๐๐๐ ล้านบาท “จัดซื้อวัคซีนสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่จำนวน ๘ ล้านคน” ทำให้นักประชาธิปไตยที่มองภาพมุมกว้างอย่าง ‘panorama’ รู้สึกความตื้นตันติดคอ พอดีหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านรายหนึ่งออกอาการแทน


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เขียนจดหมายร่ายยาวถึงชัชชาติ ว่า “วัคซีนโควิดนั้นไม่ใช่ส่วนเสริมให้คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น แบบใครจะทำเพิ่มหรือไม่ทำก็ได้เหมือนกับการสร้างหอชมเมือง ที่แต่ละท้องถิ่นตัดสินใจเลือกเองว่าจะเอางบประมาณไปทำอะไร

แต่นี่คือ ความจำเป็น ในสถานการณ์วิกฤตที่ทุกคนจะต้องได้ฟรี เหมือนกับวัคซีนอื่นๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขฉีดให้ประชาชนฟรีอยู่แล้ว เช่นวัคซีนวัณโรค คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ฯลฯ” ดังนั้นผู้จะทำได้ดีที่สุดควรเป็น รัฐบาล

ไม่อย่างนั้นจะเป็นการปล่อยผี ให้ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา...เพราะมีอีกหลายแห่งที่ขาดงบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีน” ดังกรณี อบจ.สงขลาร้องแล้ว “ปัญหาจะตกที่ท้องถิ่นขนาดเล็กที่มีประมาณร้อยละ ๗๕ ไม่มีงบประมาณดำเนินการ”

ขณะที่เทศบาลหาดใหญ่จะใช้งบฯ ๒๐๐ ล้านเพื่อคน ๑ แสน อบจ.สงขลาจัดสรรงบฯ สนับสนุนจังหวัดไปแล้วกว่า ๕๐ ล้านบาทในโครงการรับคนไทยกลับจากมาเลเซีย ตอนนี้ไม่มีเงินเหลือจัดให้แก่ท้องถิ่นย่อยๆ จะเป็น เตี้ยอุ้มคร่อม ไม่ได้แล้ว

ภาพมันชัดแจ้งยิ่งขึ้นทุกวัน ว่าการบริหารจัดการห่วยๆ บวกกับการลูบหน้าปะจมูก ตั้งแต่ระดับปกครองประเทศลงมา เป็นผลร้ายต่อความอยู่รอดปลอดภัยของท้องถิ่นแล้วโดยตรง ยิ่งมาเจอปัญหาราคาวัคซีนเข้าอีก ถ้าแอสตร้าเซเนก้ายั๊วขึ้นมาจะหวาดเสียว

(https://www.matichon.co.th/region/news_2528294, https://www.matichon.co.th/politics/news_2528243, https://www.thairath.co.th/news/foreign/2011511 และอ่านประกอบ https://www.facebook.com/thaitruthnewsttn/posts/765805354032477)