Pravit Rojanaphruk
11 hours ago
·
เพราะไม่อยากให้ไทกลายเป็นไท๊กว๋อ (รัฐบริวารจีน) จึงต้องบันทึกไว้: กรณีจีนเซนเซอร์นิทรรศการศิลปะที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ
ประวิตร โรจนพฤกษ์
เช้านี้ หลังตื่นได้สักพัก ผมก็พบโพสต์จาก FB friend คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี Suchart Sawadsri อดีตศิลปินแห่งชาติ โพสต์ตัวโตๆใน Facebook ว่า: “ขอประท้วง การเข้ามาแทรกแทรงเสรีภาพ การแสดงออกทางศิลปะ ในประเทศไทย ของรัฐบาลจีน”
อ่านแล้วก็ตื่นโดยไม่ต้องรอดื่มชาอู่หลงร้อนๆเลย รีบอาบน้ำและดิ่งตรงไปดูนิทรรศการที่ถูกเซ็นเซอร์โดยสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ (Bangkok Arts and Culture Centre หรือ BACC)
ระหว่างเดินทางบนรถไฟฟ้า ก็เปิดอ่านข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่รายงานเหตุการณ์นี้เป็นเจ้าแรก
พอผมถึงที่นิทรรศการ ที่มัณฑกรณ์ curator เป็นศิลปินชาวเมียนมาร์ชื่อคุณไซ (Sai) ซึ่งแกลี้ภัยเผด็จการทหารพม่า แต่มิได้พำนักอยู่เมืองไทย) ผมก็พบว่ามีการเอาเทปดำปิดทับชื่อประเทศจีน บนผนังของนิรรศการที่ชื่อ: Complicity (ดาราภิวัตน์: ภูมิทรรศน์เงา)
“นิทรรศการนี้ นำเสนอผลงานจากเมียนมาร์ อิหร่าน รัสเซีย ซีเรีย [แล้วชื่อประเทศจีนก็ถูกปิดทับโดยเทปดำ ทั้งในคำเกริ่นอธิบายนิทรรศการ ในภาษาไทยและอังกฤษ] ภูมิภาคต่างๆ ที่ถูกมองว่าเป็นวิกฤตเฉพาะถิ่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าแนวปฎิบัติ ของศิลปินเหล่านี้ เผยให้เห็นแผนที่ใหม่ของอำนาจ ซึ่งมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน ซึ่งเผยให้เห็นผ่านการทูต การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ และการจัดการสถานการณ์ด้วยกำลังทหาร ระบอบเหล่านี้ร่วมมือ สนับสนุนซึ่งกันและกัน และผลิตซ้ำความขัดแย้ง ในนามของอธิปไตยและความสงบเรียบร้อย”
ผู้เขียนเห็นยามผู้หญิงที่ยืนคุมนิทรรศการ จึงได้สอบถาม เและเธอก็บอกว่า ทางสถานทูตจีน “ขอ” ให้เอาธงชาติทิเบตออก เซ็นเซอร์ art video หนึ่งรายการ และเอา art installation ออกหนึ่งรายการ
สักพักเจ้าหน้าที่หอศิลปฯก็เดินมาสอบถามผู้เขียน ผมจึงอธิบายว่าเป็นใคร มาทำอะไร และต้องการสัมภาษณ์ถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมือปลายเดือนที่แล้ว
ตอนเดินออกจากนิทรรศการชั้น 8 สุดท้ายก็มีเจ้าหน้าหอศิลปฯ 4 คนเดินเข้ามาหาผม และผมก็ขอสัมภาษณ์ และได้คำตอบว่า “ทางเราไม่สามารถให้การสัมภาษณ์ใดๆ ทางเรายังไง เดี๋ยวต้องมีการหารือ [ก่อน] เราพยายามยืนหยัดในการให้พื้นที่ เป็นพื้นที่สาธารณะ นิทรรศการก็ยัง on show” พร้อมกับแจ้งผมว่า วันนั้น (26 กรกฎาคม 2568) หลังนิทรรศการเปิดได้ 2 วัน มีเจ้าหน้าที่สถานทูตจีน walk in มา [และนำไปสู่การเซนเซอร์บางส่วนของนิทรรศการที่เกี่ยวกับจีน ซึ่งรวมถึงประเด็นอุยกูร์ ฮ่องกงและทิเบต]
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ผมคุยด้วยดูท่าทางวิตกหลังเรื่องนี้เป็นข่าว และเป็นห่วงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของหอศิลปฺ์มาก จึงมีการแลกเปลี่ยนความเห็นว่าหอศิลป์ควรปฎิบัติอย่างไร ผมตั้งข้อสังเกต และแนะนำทางเจ้าหน้าคนนั้นไปว่า:
1) ประเทศไทยมิใช่เมืองขึ้นหรือรัฐบริวารของจีน (หรือของชาติใด) และควรดูประเทศเพื่อนบ้านเป็นอุทาหรณ์ สถานทูตจีนไม่มีสิทธิ์มาสั่ง และไม่ควรปล่อยให้เขามาสั่งหอศิลป์ในไทยว่าจัดแสดงอะไรได้ ไม่ได้ (ข่าวรอยเตอร์บอกมีเจ้าหน้าที่ กทม.มาด้วย แต่เจ้าหน้าที่หอศืลป์บอกมีแค่ทางสถานทูตจีน)
ในกรณีนี้ หอศิลป์ฯควรขอให้สถานทูตจีนส่งจดหมายร้องเรียนมาเป็นลายลกษณ์อักษรก่อน และปรึกษากับกระทรวงการต่างประเทศไทย ว่าควรปฎิบัติอย่างไร และดูสิทธิ์ทางกฎหมายของหอศิลป์ มิใช่ยอมทำตามคำเรียกร้องเซนเซอร์ไปเลย และควรยืนกราน ไม่ให้สถานทูตจีนมาล้ำเส้น ทำอย่างกับไทยเป็นส่วนหนึ่งของจีน
2) ควรรีบสรุปเหตุการณ์ และแถลงต่อสื่อและสาธารณะ ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อความโปร่งใสและน่าเชื่อถือของหอศิลป์
3) หากผิดพลาดไป ควรเรียนรู้จากความผิดพลาด และจัดทำระบบ protocol ว่า หากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ทางหอศิลป์ควรมีแนวทางและขั้นตอนปฎิบัติอย่างไรเพื่อปกป้องเสรีภาพทางศิลปะของตนในอนาคต
ปล. ผมได้บอกเจ้าหน้าที่ให้สบายใจว่าคุณ Rosalia Sciortino ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการบริหาร SEA Junction ที่ทำเรื่องเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในเอเชียตะวนออกเฉียงใต้ และเช่าที่หอศิลป์ตั้งแต่ปี 2016 ได้บอกกับผมวันนี้ ทางโทรศัพท์ว่า ทางหอศิลป์ BACC นั้น ถือเป็สถานที่ๆให้เสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพแก่ศิลปิน มากที่สุดในไทยแล้ว ซึ่งดูได้จากกรณีนิทรรศการนักโทษทางการเมือง ที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิ์จัดที่นั่น และผมก็ย้ำกับทางเจ้าหน้าที่คนนั้นว่า ผมก็ยังเห็นว่างานของคุณไซบางชิ้นที่วิจารณ์จีนก็ยังคงจัดแสดง โดยเฉพาะกราฟฟิคขนาดมหึมา ที่แสดงให้เห็นว่า จีน และประเทศอื่นรวมถึงรัสเซียและเกาหลีเหนือ ขายอาวุธอะไรให้กับเผด็จการพม่า และมีอะไรใช้โจมตีพลเรือนชาวเมียนมาร์บ้าง
ปล. 2 ได้ส่ง Line ไปถามเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนที่มีคอนแทคตอนบ่าย แต่ยังไม่มีคำตอบ และไม่คิดว่าจะมีคำตอบ เพราะข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ติดต่อสถานทูตจีนประจำประเทศไทยไปหลายครั้งแล้วก็ไม่ตอบ
ปล. 3 ขอขอบคุณทางสถานทูตจีนที่ช่วยโปรโมทงานนิทรรศการนี้ (โดยมิได้เจตนา) และแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ยิ่งกว่านิทรรศการว่า เผด็จการจีน ใช้อำนาจในต่างแดนอย่างไร
>นิทรรศการมีถึงวันที่ 19 ตุลา 2568 แต่เพื่อให้ชัวร์ ไปชมก่อนก็ดีครับ
ปล. ผมอีเมลไปถามคุณไซแล้ว ว่าก่อนถูกเซนเซอร์ ทางหอศิลป์ได้ติดต่อปรึกษาก่อนหรือไม่ ฯลฯ แต่ยังไมได้รับคำตอบ
UPDATE: คุณไซตอบผมมาแล้ว เชิญอ่าน 2 ภาษา
(English below)
ด่วน: ถามตอบกับคูเรเตอร์งานที่ถูกเซนเซอร๋ หลังสถานทูตจีนกดดัน
คุณไซ (Mr Sai) ศิลปินและคูเรเตอร์ชาวเมียนม่ร์ของนิทรรศการ Complicity ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ ที่ล่าสุดถูกสถานทูตจีนกดดันจนทางหอศิลป์เซนเซอร์ผลงานที่จัดแสดงไปจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับทิเบต อุยกูร์ ฯลฯ ได้ตอบคำถามผมทางอีเมลล์กลับมาแล้วนะครับ
เชิญอ่าน Q & A 2 ภาษา
ประวิตร: คุณคาดคิดว่าการเซ็นเซอร์นี้จะเกิดขึ้นหรือไม่?
Sai: เราทราบดีว่ามีความเสี่ยง ในระหว่างที่เราประเมินความเสี่ยงร่วมกับหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) เราได้พูดคุยกันถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการคัดค้านทางการทูต เพื่อลดความเสี่ยง เราจึงคัดเลือกผลงานที่มุ่งเน้นประสบการณ์ชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนชาวทิเบต อุยกูร์ และฮ่องกง มากกว่าการแสดงออกทางการเมืองโดยตรง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกินกว่าที่เราคาดไว้มาก มันกลายเป็นกรณีที่ชัดเจนของการแทรกแซงจากต่างชาติในพื้นที่ทางวัฒนธรรมของประเทศไทย
ประวิตร: BACC แจ้งคุณล่วงหน้าก่อนที่จะมีการเซ็นเซอร์หรือไม่?
Sai: เรามีการพูดคุยอย่างต่อเนื่องและโปร่งใสกับทาง BACC พวกเขาไม่เคยต้องการเซ็นเซอร์นิทรรศการนี้เลย อันที่จริงแล้ว สถาบันแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเป็นมืออาชีพอย่างน่าชื่นชมในการต่อต้านการเรียกร้องซ้ำ ๆ จากสถานทูตจีน แต่แรงกดดันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเดินทางมาด้วยตนเองพร้อมกับเจ้าหน้าที่จากกรุงเทพมหานคร เช่นเคย BACC พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่การเรียกร้องของสถานทูตจีนก็ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็ถูกบังคับให้ต้องทำตาม
ประวิตร: มีผลงานชิ้นใดบ้างที่ถูกเซ็นเซอร์?
Sai: มีการปิดชื่อและถิ่นที่อยู่ของศิลปินสามคนจากฮ่องกง ทิเบต และชาวอุยกูร์ด้วยเทปสีดำ ธงชาติทิเบตและอุยกูร์ในงานจัดแสดงหนึ่งถูกนำออกไป หลังจากนั้น ผลงานวิดีโอทั้งหมดของศิลปินชาวทิเบตชื่อ Tenzin Mingyur Paldron ก็ถูกถอดออก โปสการ์ดที่อ้างอิงถึงสี จิ้นผิง และหนังสือเล่มหนึ่งก็ถูกนำออกไปเช่นกัน สิ่งที่เหลืออยู่คือร่องรอยที่ชัดเจนในจุดที่เคยเป็นตัวตนและผลงานของศิลปิน
นี่คือสิ่งที่ศิลปินชาวทิเบตกล่าวไว้ด้วยตนเอง:
“1 และ 2. ธงทิเบตและอุยกูร์
* We Measure the Earth with Our Bodies นวนิยายโดย Tsering Yangzom Lama นวนิยายเรื่องนี้เพิ่งถูกเซ็นเซอร์โดยพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชีย Guimet หลังจากได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลจีน หลังจากที่พิพิธภัณฑ์ Guimet เสนอชื่อนวนิยายของผู้เขียนเข้าชิงรางวัลวรรณกรรม พวกเขาก็เรียกเธอว่าเป็นชาวจีน และหลังจากนั้นก็ลบการกล่าวถึงผู้เขียนและนวนิยายทั้งหมดออกจากเว็บไซต์ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Globe and Mail)
* โปสการ์ดภาพประกอบโดย Liz Hee ชื่อ: China, Israel, and the "Xinjiang" Mode (@lizar_tistry Instagram)
* ภาพยนตร์: Listen to Indigenous People: A Trans Tibetan Scholar & Survivor Speaks on the Dalai Lama (YouTube)
* ภาพยนตร์: Earth is Heard คำอธิบาย: ในภาพยนตร์เรื่อง Earth is Heard การปฏิบัติโบราณของชาวทิเบตที่มีมานานหลายศตวรรษในการกราบแบบระยะไกลถูกนำมาใช้ในบริบทใหม่ ในเดือนเมษายน 2024 ผมได้เข้าร่วมกับชาวทิเบต LGBTIQ+ คนอื่น ๆ ในการกราบแบบระยะไกลเป็นเวลาสองชั่วโมงในนครนิวยอร์ก โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตร เรากราบธงปาเลสไตน์ และถือธงทิเบตและธงของชนชาติอื่น ๆ ที่ถูกกดขี่”
ประวิตร: ในอนาคต คุณมีข้อเสนอแนะใดบ้างสำหรับ BACC, รัฐบาลไทย, สถานทูตจีน และประชาชนชาวไทย?
Sai: ข้อเสนอแนะเดียวของผมคือสำหรับประชาชน: ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของลัทธิอาณานิคมใหม่และการกดขี่ข้ามชาติ สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นเครื่องเตือนใจว่าเมื่อชุมชนที่ถูกกดขี่ลุกขึ้นยืนด้วยกัน ระบอบเผด็จการจะรู้สึกถูกคุกคาม นี่คือเหตุผลที่พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้เราเงียบลง พิพิธภัณฑ์สันติภาพเมียนมาและศิลปินที่เกี่ยวข้องให้ความเคารพอย่างสูงต่อ BACC ในด้านจริยธรรม ความเป็นมืออาชีพ และความเต็มใจที่จะปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้แรงกดดันที่ไม่ธรรมดา การได้ร่วมงานกับพวกเขานับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ประวิตร: คุณทราบหรือไม่ว่าเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลไทยมีส่วนร่วมในกระบวนการเซ็นเซอร์หรือไม่?
Sai: ประชาชนชาวไทยย่อมรู้ดีที่สุดว่าต้องอาศัยการประสานงานของสถาบันมากมายเพียงใดในการดำเนินการเช่นนี้จากสถานทูตจีน เพื่อเสรีภาพในการแสดงออก ผมได้ตอบคำถามนี้กับสื่ออื่น ๆ ไปแล้ว
ประวิตร: คุณช่วยอธิบายความซับซ้อนระหว่างจีนกับเมียนมา รวมถึงประเทศไทยได้หรือไม่?
Sai: ผมเป็นศิลปินและภัณฑารักษ์ และผลงานของผมตั้งคำถามได้ตรงกว่าข้อความใด ๆ ผมรักประเทศไทย ศิลปะ วัฒนธรรม และผู้คน ซึ่งทำให้การจากไปอย่างกะทันหันและถูกบังคับเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก ผมอยากจะขอให้ผู้อ่านถามตัวเองว่าทำไมผมถึงต้องจากไป และมีผู้เกี่ยวข้องกี่คนที่ทำให้การสมรู้ร่วมคิดเช่นนี้เกิดขึ้นได้
เมียนมาในวันนี้กำลังกลายเป็นอย่างที่ทิเบตต้องทนมานานหลายทศวรรษ สถานที่ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีอำนาจควบคุมกิจการภายในของเราอย่างลึกซึ้งและไม่เคยมีมาก่อน หากต้องการทำความเข้าใจขอบเขตของการเข้าถึงนี้ ลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองลาเชียวในปี 2025
ขอบคุณที่ให้พื้นที่กับพวกเรา การสนับสนุนของคนไทยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเราเมื่อเรากลับไปสร้างชาติของเราใหม่
#ป #ไทย #จีน #อุยกูร์ #ทิเบต
—
From Khaosod English.
An art exhibition at Bangkok Arts and Culture Centre (BACC) entitled "Complicity" was partly censored when a diplomat from the Chinese Embassy in Bangkok pressured them, according to a source at BACC on Saturday, August 9, 2025. Items censored include a Tibetan flag, a video, and an installation art piece. These exhibited items touch upon the issues of Tibet, Uyghurs, and Hong Kong.
Khaosod English’s Pravit Rojanaphruk sent a few questions to the exhibitions curator, Mr Sai, a Myanmar dissident who lived in exile somewhere not in Thailand.
Here are Sai's reply.
---
Pravit: Did you expect this censorship?
Sai: We knew there was a risk. In our risk assessment sessions with BACC, we discussed possible diplomatic pushback. To reduce exposure, we selected works that focused on the lived experiences and cultures of Tibetan, Uyghur, and Hong Kong communities rather than direct political statements. But what happened went far beyond what we anticipated: it became a clear case of foreign interference in Thailand’s cultural space.
Pravit: Did BACC inform you in advance prior to the censorship?
Sai: There was an ongoing and transparent dialogue with BACC. They never wanted to censor the exhibition. In fact, the institution showed remarkable courage and professionalism in resisting repeated demands from the Chinese Embassy. But the pressure escalated, with the Embassy visiting in person alongside Bangkok Metropolitan Administration officials. As always, BACC tried their best, but the Chinese Embassy’s demands kept coming, again and again, until compliance was excessivelyforced.
Pravit: What were the key items censored?
Sai: The names and regional affiliations of three artists, from Hong Kong, Tibet, and the Uyghur diaspora, were covered with black tape. The Tibetan and Uyghur flags in one installation were removed. Later, all of Tibetan artist Tenzin Mingyur Paldron’s video works were taken down, and postcards referencing Xi Jinping and a book were removed. What’s left is a visible scar where an artist’s identity and work used to be. [Also] Tibetan and Uyghur flags.
Also, we Measure the Earth with Our Bodies, a novel by Tsering Yangzom Lama. This novel was also recently censored by Guimet Museum of Asian Arts after Chinese government pressure. After the Guimet nominated the author's novel for a literary prize, they described her as a Chinese and then subsequently erased all mention of the author and the novel from their website. (Read more from Globe and Mail) Also, an Illustrated postcard by Liz Hee titled: China, Israel, and the "Xinjiang" Mode (@lizar_tistryInstagram).
Film: Listen to Indigenous People: A Trans Tibetan Scholar & Survivor Speaks on the Dalai Lama (YouTube) and Film. Earth is Heard. Description: In the film Earth is Heard, the centuries-old Tibetan practice of distance prostration is invoked in a new context. In April 2024, I joined other LGBTIQ+ Tibetans in a two-hour distance prostration in New York City. Supported by allies, we prostrated to the Palestinian flag and carried with us the Tibetan flag and flags of other oppressed peoples.”
Pravit: Going forward, what’s your suggestion to BACC, the Thai government, the Chinese Embassy, and the Thai public?
Sai: My only suggestion is to the public: it is time to confront the reality of neocolonialism and transnational repression. What happened here is a physical reminder that when oppressed communities stand together, authoritarian regimes feel threatened. This is why they act in concert to silence us. The Myanmar Peace Museum and the artists involved hold deep respect for BACC: for its ethics, its professionalism, and its willingness to defend freedom of expression under extraordinary pressure. Working with them has been an honor.
Pravit: Were you aware whether officials from the Thai government were involved in the censorship process?
Sai: Thai citizens would know the best of how many institutional orchestration would it take to pull this kind of move from the Chinese Embassy. For the sake of freedom of expression, I had addressed on other news outlets of this questions.
Pravit: Can you briefly explain the complicity between China and Myanmar, as well as Thailand?
I am an artist-curator and my work poses the questions more directly than any statement could. I love Thailand, its art, culture, and people, which makes it all the more wrenching to leave in such an abrupt and forced way. I would urge readers to ask themselves why I had to go and how many actors must be involved for such an act of complicity to take place.
Myanmar today is becoming what Tibet has endured for decades, a place where the Chinese Communist Party wields deep, unprecedented control over our internal affairs. To understand the extent of this reach, look into what happened in Lashio in 2025.
Thank you for giving us the platform, Thai people’s support is integral for us when we go back to rebuild our nation.
Note: Khaosod English reached out to the Chinese Embassy's contact but there was no reply as 9f press time.
(Photo by Pravit Rojanaphruk. The partially censored exhibition runs until October 19, at BACC on the 8th floor. Entrance is free.)
#Thailand #Myanmar #China #Tibet #Uyghur
#ป #ไทย #จีน #เสรีภาพ #หอศิลปกรุงเทพฯ #เมียนมาร์ #Thailand #China #Myanmar