วันจันทร์, มิถุนายน 15, 2563

เป็นห่วงกันใหญ่ หลัง 'โควิด' ผ่อนคลาย “แนวโน้มกลุ่มคนไม่สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้น

ประเดิมงดเคอร์ฟิว ๑๕ วัน พวกชายขี้เหงาอารมณ์เปลี่ยวจะเที่ยว ปันสุข เสียหน่อย แหม ตำรวจบอก “ไม่พบสาวขายบริการ” ก็ยกกันไปตั้ง ๕๐ นาย สาวที่ไหนจะกล้าออกมายืนเรียกลูกค้า เหมือนสมัย คสช.๑ นั่นไง ยกไปพัทยากันทั้งกองร้อยมั้ง ไม่เจอสักรายเช่นกัน

แล้วนี่เข้าเฟสสี่ ระยะผ่อนคลายของ ศบค. ประธานหอการค้าบอกว่าเป็นห่วงกิจการที่ยังไม่เปิด เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ และอาบอบนวด นายกลินท์ สารสิน อยากให้รัฐเข้าไปสอบถามว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง เพราะธุรกิจพวกนี้ “เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก”

โดยเฉพาะพวกสาวขายบริการนี่ ตามข่าวบอกซอยปันสุข ปทุมธานี นี่เฟื่องฟูธุรกิจแบบนี้มาหลายปีดีดักแล้ว (แสดงว่าตลอดยุค คสช.เรื่อยมาแหละ) หนักข้อก็ตอนที่มีล็อคดาวน์และเคอร์ฟิว เพราะกิจการชนิดที่ประธานหอการค้าเป็นห่วงต้องปิดกันหมด สาวๆ ก็เลยต้องเปิดบริการแบบ ‘curbside pickup’ แทน

ข่าวสด รายงานตอนหนึ่งว่า “ประมาณสองทุ่มจะเริ่มมีผู้หญิงมายืนบริเวณปากซอยเป็นกลุ่มๆ จะเห็นหญิงสาวยืนเรียกขายบริการริมถนนตลอดแนวทุกคืน ช่วงมีการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ได้หยุดไป” เพิ่งกลับมาเปิดใหม่สักเดือนกว่าๆ นี่เอง และกำลังเพิ่มมากขึ้นอยู่พอดี

ตำรวจ สภ.ธัญบุรี ขยับครั้งนี้เหตุจากที่มีชาวบ้านบ่น คลิปแพร่ว่าแม่ค้ารับประกัน “เคลียร์เจ้าหน้าที่” ราคา พันสาม ควบรวมทั้งบริการและสถานที่ โรงแรมแถวนั้นมีเยอะ ตั้งแต่จิ้งหรีด จั๊กจั่น ไปถึงแมงดา กลับมาเปิดกันใหญ่ตอนเริ่มผ่อนคลายนี้เอง

ดูเหมือนรัฐบาลก็กระตือรือล้นไม่แพ้หอการค้า ด้วยหวังอย่างยิ่งว่าเมื่อปลดล็อคออกหมดแล้ว จะได้นักท่องเที่ยว (โดยเฉพาะจากจีน) กลับมาเร็วไว ตอนนี้ทาบทามไว้แล้วเปิดสนามบินรับต่างชาติเมื่อไหร่ พวกกิจการบันเทิงกลางคืนและบันเทาเส้นสายตึงนี่ยิ่งจำเป็น

ถ่วงนานเกินไปไม่ได้ ความอดอยากปากแห้งไม่เกรงใจใคร ขนาดโพลกันเองอย่าง กรรณิกายังอั้นไว้ไม่อยู่เหมือนกัน อุตส่าห์จั่วหัวเรื่องให้มันรื่นหูพวกนักยึดอำนาจแล้วนะ ถึง “ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งมากว่า ๑ ปี”
ยกความชั่วร้ายไปให้แก่การเลือกตั้งว่า ส่วนใหญ่ “ร้อยละ ๔๓.๒ ระบุชีวิตความเป็นอยู่แย่ลง” กับอีก ๓๑.๕% ว่า “แย่เหมือนเดิม” ซ้ำอ้างถึงต้นเหตุว่ามาจาก การแตกแยกภายในพรรคการเมือง (๑๙.๔%) กับการแก่งแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี (๒๑.๘%)

ล้วนเป็นเรื่องภายในรัฐบาลทั้งนั้น โดยมีการสอบถามผู้ถูกสำรวจว่านายกฯ ควรไว้ใจใครระหว่างสองผู้มีบุญคุณของรัฐบาล ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ แกนนำ กปปส.ที่ป่วนเมืองสร้างสถานการณ์รัฐประหาร กับ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ช่วยดูด ส.ส.และนักการเมืองจากรัฐบาลเก่ามาเข้าขบวน

ซูเปอร์โพลของ นพดล กรรณิกา จึงออกแนว เป็นห่วง กับเขาบ้าง ห่วงเรื่อง “แนวโน้มกลุ่มคนไม่สนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๕๒.๒ ช่วงหลังกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออก ไปอยู่ที่ร้อยละ ๕๔.๔ ในผลสำรวจล่าสุด”


แต่โพลกรรณิกาพยายามเบี่ยงบ่ายไม่พูดถึงต้นสายปลายเหตุแท้จริง ของการที่ประชาชนจำนวนมากขึ้นไม่พอใจรัฐบาล นั่นคือเรื่องอดอยากและหนี้สิน ยิ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลทับถมภาระให้บนไหล่บนหลังของผู้เสียภาษี อันทำให้ชนชั้นกลางในเมืองเดี๋ยวนี้พยายามผลักไสฉายา สลิ่ม ออกไปจากตัว

มีคำถามที่สลิ่มสะอึกเกี่ยวกับการออก พรก.กู้เงินเพิ่ม ๑ ล้านล้านบาท ที่ว่าไว้จ่ายเยียวยาประชาชน ๖ แสนล้าน “ใช้เยียวยาจริงๆ ไปแล้วเท่าไหร่ไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ต้องเหลืออีกมากมายมันหายไปไหนหมด” ถามกันเช่นนี้เพราะทั่นรองฯ จอมยกเว้นออกมาเสล่ออีก
วิษณุ เครืองาม ตอบคำถามจากสื่อถึงความคืบหน้าของการจัดให้มีเลือกตั้งท้องถิ่น ว่าต้องไปถามกระทรวงและหน่วยงานเกี่ยวข้อง อย่างมหาดไทยและกรรมการเลือกตั้ง ว่าพร้อมกันหรือยัง อีกอย่างที่รู้ว่ายังไม่พร้อมคือ งบประมาณ


“ก่อนหน้านี้พร้อมแล้วแต่มีการดึงไปใช้ในเรื่องของโควิด-๑๙” รองนายกฯ อ้าง หลังจากที่มีเสียงวิจารณ์ถี่ขึ้นว่า “๖ ปีแล้วที่การเลือกตั้งท้องถิ่นถูกแช่แข็งไว้” prajak kong @bkksnow ชี้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง “รัฐราชการรวมศูนย์” อย่างทหาร

แม้แต่ ผู้ว่า กทม.ก็ยังแต่งตั้งมาด้วยอำนาจ ม.๔๔ ของคณะรัฐประหาร ความดึงดันที่จะครองเมืองกันต่อไปของพวกทหารที่เข้าสู่การเมืองด้วยการยึดอำนาจ แล้วบิดเบี้ยวกติกาประชาธิปไตยให้พวกตนยังกุมบังเหียนและได้เปรียบต่อไป

อาการ เดี้ยง ทางการบริหารของรัฐบาลประยุทธ์ในขณะนี้แทบจะทุกเรื่อง รวมทั้งการ บำรุงรักษา สถาบันกษัตริย์ ขณะที่กรณี #saveวันเฉลิม กระหึ่มไปทั่วโลก แต่รัฐบาลไม่มีปัญญาทำให้เกิดความกระจ่างใดๆ อ้างแต่เพียงถามกัมพูชาแล้วเขาไม่ตอบ ทำไงได้

รอให้เขาตอบสหประชาชาติเสียก่อนนั่นหรือ อาจสายเกินแก้เสียจนทรงกริ้วแล้วก็ได้