เมื่อวานระหว่างบรรยาย ‘แผ่นดินของเรา ในมุมมองประชาธิปไตย’ คุณคนนี้ลุกขึ้นโต้แย้งอย่างคนที่บ่มด้วยความโกรธเกลียดแทบลุกเป็นไฟ (ไม่ต้องถามเนอะ ว่าเขาบ่มมาด้วยอะไร)
เขาถูกคนรอบๆ ต่อว่า มีคนขับไล่ พยายามให้เขาออกไป
แต่จารย์ปิยบุตรเรียกเขาไว้ เชื้อเชิญให้มานั่งฟังก่อน แล้วเดี๋ยวจะถามอะไรจะให้ถาม - - นี่คือมุมอบอุ่นของ ปยบ ที่เราชื่นชมมานาน
และเรารู้สึกขอบคุณชายคนนั้นที่เขารับคำเชิญ เดินกลับมานั่งฟังต่อ เขายังคงแย้งขึ้นอย่างเดือดดาลอีกครั้ง และอีกครั้งที่อาจารย์บอกเขาว่า ขอให้ฟังผมพูดให้จบก่อน
แล้วอาจารย์ก็พูดถึงความเหลื่อมล้ำในสังคม การครอบครองสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของคน 1% ในประเทศ ขณะที่คน 99% เข้าไม่ถึงทรัพยากร ทหารชั้นผู้น้อยที่พรรคอนาคตใหม่นึกถึง ความสำคัญของกองทัพต่อประเทศ อนาคตใหม่ไม่เคยปฏิเสธกองทัพ เพียงทหารต้องเป็นทหารอาชีพที่ยึดมั่นหน้าที่ตนภายใต้กรอบกฎกระทรวงกลาโหม
อาจารย์ยังพูดถึงความกังวลของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่ไม่รู้อนาคตประเทศจะเป็นอย่างไร ลูกหลานจะอยู่ในสังคมแบบไหน แทนที่จะอยู่อย่างเกลียดชังกัน ทำไมทุกคนไม่เปิดใจยอมรับว่าสังคมที่เราอยู่มีความเห็นต่างจริงๆ แล้วหาจุดร่วม ทำสังคมของเราให้มันดีกว่าที่เป็นอยู่ แทนที่จะคิดกำจัดออกไปๆ ไม่สิ้นสุด
ที่นี่ไม่แบ่งคนด้วยช่วงอายุ ทุกวัยคือประชาชน ประชาชนคือชาติ
พรรคอนาคตใหม่และพรรคร่วมฝ่ายค้าน คิดแต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นเนื้อหาที่เอื้อประโยชน์ประชาชน
คุณคนนั้นเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่าเขาเข้าใจขึ้นแค่ไหน แต่รู้ว่าเขาเข้าใจได้ดี ว่าระหว่างการฟังเฮทสปีชที่ไม่มีฐานข้อมูล กับหังเหตุและผล อะไรสร้างตัวเขาให้เข้าใจโลกอย่างที่เป็นจริงได้มากกว่า
เรื่องจึงจบลงด้วยภาพนี้ การเข้ามาจับมือ สัมผัสของคนคิดต่างที่ฟังกันได้
สำหรับเรา การเลือกศรัทธาสิ่งไหน แล้วมันทำให้เราเป็นคนใจกว้างขึ้น รับฟังคนอื่นได้มากขึ้น อยากจะทำเพื่อเหตุและผล
เราถือว่าเราเลือกทางถูกแล้ว
ภาพ: เอามาจากมติชน
Montakan Beatrix Ransibrahmanakul
·