วันศุกร์, ตุลาคม 04, 2562

เศรษฐกิจต้มยำหนนั้น ‘ตายยอด’ แต่หนนี้ ‘ตายราก’ ด้วยน้ำมือ 'ตู่' แท้ๆ


ไปต่อไม่หยุด ตู่ปากเปราะเราะราน คราวนี้ไปถึง เด็ก ที่ต้องเข้าไปทำงานรับจ้างในกรุงฯ “ทำให้ความอบอุ่นในครอบครัวหายไป อีกทั้งมีเรื่องโซเซียลมีเดีย ดิจิทัล ออนไลน์ ยิ่งทำให้หนักกันไปใหญ่ แล้วใครจะสอน”

พล.อ.ประยุทธ์ไปพูดมอบนโยบายการเกษตร แต่อดไม่ได้ตามนิสัยเดิมต้องกระทบถึงชาวบ้านทั่วไปในต่างจังหวัด ว่า “พ่อแม่ก็ไม่ได้สอนกัน ครูบางทีก็ไม่ได้สอน” ในเรื่องจิตสำนึกของความรักชาติ “ทำให้เยาวชนเติบโตมาเหมือนไม่มีกรอบความคิด ก็คิดไปเรื่อย”

อย่างนี้ชัดเจนเลยว่าที่ คสช.ยึดอำนาจ สืบทอดอำนาจ และประกาศยุทธศาสตร์ ๒๐ ปีเนี่ย เพราะต้องการตีกรอบความคิดของประชาชนและเยาวชน เท่านั้นไม่พอผลักภาระ ปัดสวะพ้นตัว “การแก้ไขปัญหาต่างๆ ทุกอย่างจะโทษผมหมดมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน”


จะไม่ให้โทษได้อย่างไร ในเมื่อปัญหาที่เกิดทั้งหลาย เกิดในช่วงเวลาสี่ห้าปีที่แกครองเมืองอยู่นะ มันเกิดด้วยน้ำมือ คสช.ล้วนๆ ลองไปฟังอดีตรองโฆษกพรรคไทยรักษาชาติลำดับไว้

“รัฐธรรมนูญโหลยโท่ย เศรษฐกิจย่ำแย่ นโยบายไม่ช่วยแก้ น้ำท่วม ฝนแล้ง ฝุ่นควันตามมา ความยุติธรรมมีปัญหา ประชาชนถูกดูแคลน” ครบเครื่องความตำบอนของไอทู้บทั้งนั้น ขณะที่ปากท้องชาวบ้านกำลังขาดแคลน กำลังพลไม่สวนถลุงเงินกันสนุก

ทัพบกเพิ่งซื้อยานหุ้มเกราะอเมริกัน (ที่ส่วนหนึ่งไปประจำการหน่วยราชวัลลภ) ทัพอากาศเพิ่งประกาศจองตั๋วไว้ เดี๋ยวซื้อด้วย ทัพเรือไม่น้อยหน้าซื้อเรือลำเรียงยกพลขึ้นบกชุดใหม่แล้ว หันไปสร้างตึกรับรองอย่างหรูไว้ชูหน้าชูตา ผบ.ทร.บ้าง

“เทียบโรงแรมย่อมๆ พร้อมตกแต่งหรู โคมไฟ Chandelier ยันเต็มศักยภาพ สง่างามสมเกียรติ” อ้างว่าได้ใช้รับรอง “รองรับการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ADMM ๑๗ พย.นี้” พอดี ดังที่ วาสนา นาน่วม ประโคม

“หลักการมีการเพิ่มวัตถุประสงค์ให้มีห้องจัดเลี้ยง ห้องรับรองแขกวีไอพีของกองทัพเรือและแขกต่างประเทศได้ จึงเพิ่มเป็นอาคารรับรองและห้องพักผู้ติดตามโดยมีห้องจัดเลี้ยงที่สง่างามริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทดแทนการต้องไปใช้โรงแรม”

 
แต่นั่นเป็นการใช้งานชั่วครั้งชั่วคราว นานทีปีหนไปเช่าโรงแรมจะเอาหรูขนาดไหนก็ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณที่มาจากการเก็บภาษีอากรบนหลังประชาชน รวมกันทั้งสิ้นในโครงการนี้ ๑๑๒ ล้านบาท

อยากให้ ผบ.ทั้งหลายไปอ่านบทความของ ฐากูร บุนปาน คนสำคัญในเครือสื่อ มติชน กันหน่อย จะได้รู้ว่าพวกพลเรือนเขามองเห็นอะไรในบ้านเมืองที่พวกทหารอาจไม่เห็น หรือว่าเห็นแล้วทำเป็นตาบอดตาใส

(บทความเต็มที่นี่ ไม่สั้นแต่ก็ไม่ยาวนัก แนะให้อ่านทั้งหมดจะได้อารมณ์ดี https://www.facebook.com/thakoon.boonparn/posts/10212664544203094)

ซึ่งเป็นการ “แสดงความเห็นต่างกับท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่เมื่อสองสามวันก่อนออกมาบอกว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวแค่ ๒.๘% เท่านั้นนะ แม้นว่าจะประเมินและประมาณการเมื่อต้นปีว่าจะโตถึง ๓.๘% และตกลงไปเป็น ๓.๓% ตอนกลางปี นั่นไม่ใช่ทั้งสิ้น

ฐากูรชี้ว่า “ถ้าเอาอัตราการขยายตัวที่ต่ำเตี้ย (คือปกตินักวิชาการทั้งหลาย รวมทั้งแบงก์ชาติด้วยเคยให้ความเห็นว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะไม่ทำให้เกิดปัญหา ทั้งกับภาคประชาชนและภาครัฐ ควรจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๕ ต่อปี)

ไปร่วมสมการกับ ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ที่บอกว่าถดถอยนั้นไม่พอเสียแล้ว แต่เข้าขั้นวิกฤตเลยทีเดียว” เขาอ้างตัวเลขที่ บรรยง พงษ์พานิช เคยแจงไว้ว่าพวกกิจการใหญ่ที่มีเพียง ๒๕% ของทั้งประเทศ โตเอา โตเอา

ย่อมหมายความว่าอีก ๗๕% ต้องตกเอา ตกเอา บวกกับหนี้ครัวเรือนที่แบ๊งค์ชาติเองก็ยอมรับว่าถึง ๑๓๐-๑๔๐% ของรายได้ด้วยแล้ว “จะให้แปลว่าอะไร”

ฐากูรแจงต่อไปว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ “ผิดกับวิกฤติที่เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๔๐ อย่างหน้ามือเป็นหลังเท้า หนนั้นตายยอด หนนี้ตายราก” นั่นคือ “เป็นวิกฤติของคนจน-คนชั้นล่าง” ที่ อย่าหวัง

“ให้คนที่ไม่เคยเห็นหัวชาวบ้านแล้วจับพลัดจับผลูขึ้นมามีอำนาจ หรือนักวิชาการที่ตีนไม่เคยเปื้อนโคลนมาเข้าใจ มาทำอะไรให้ปัญหาลดหรือทุเลาลง”

ฉะนั้น “การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ตัวแทนชาวบ้านทั้งหลายต้องชาวบ้าน ต้องตอบสนองความต้องการชาวบ้าน ต้องถือว่าการบริการเป็นหน้าที่ จึงสำคัญฉะนี้”